xs
xsm
sm
md
lg

‘PETITE-POP’ ลูกอม (ไม่) ไร้สาระ รุ่น 2 สานตำนานหวานเปิดตลาดใหม่ (มีคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผู้ปกครองจำนวนมากไม่อยากให้ลูกหลานรับประทาน “ลูกอม” เพราะเกรงจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ ในขณะเดียวกัน เด็กๆ กลับชื่นชอบขนมหวานชนิดนี้อย่างมาก ช่องว่างดังกล่าวเป็นโอกาสให้แบรนด์น้องใหม่ “เพติ๊ด-ป๊อป” (PETITE-POP) เสนอทางเลือกตรงกลาง ในรูปแบบอมยิ้มสุขภาพจากวัตถุดิบ “น้ำตาลออแกนิก” พร้อมส่วนผสมให้ประโยชน์ต่อร่างกาย สร้างจุดเด่นให้เป็นสินค้าดีต่อใจของทั้งผู้ปกครองและน้องหนู

สินค้าดังกล่าวพัฒนาโดย “พิมลพัชร์ ธนุสุทธิยาภรณ์” อายุ 28 ปี ทายาทรุ่น 2 แห่งบริษัท ไทย บีบี ฟรุท จำกัด โรงงานผู้ผลิตลูกอม อายุกว่าสี่ทศวรรษ ที่เข้ามาสานต่อ และต่อยอดธุรกิจนำสินค้าเดิมเพิ่มมูลค่า ขยายหาตลาดใหม่ สนับสนุนให้ธุรกิจปรับตัวก้าวทันโลกเสมอ


“พิมลพัชร์ ธนุสุทธิยาภรณ์” อายุ 28 ปี ทายาทรุ่น 2 แห่งบริษัท ไทย บีบี ฟรุท จำกัด โรงงานผู้ผลิตลูกอม
“คุณพ่อ (มั่นเศรษฐ์ ธนุสุทธิยาภรณ์) เริ่มจากเป็นคนงานในโรงงานทำขนม และสร้างตัวจนมีโรงงานทำขนมของตัวเอง โดยสินค้าดังยุคบุกเบิกคือ “หมากฝรั่งไทย” และขยายทำลูกอมนานาชนิด ทั้งแบรนด์ตัวเอง อย่าง “Jimbo” และรับจ้างผลิตลูกอมให้แก่สายการบิน โรงแรม และองค์กรต่างๆ ซึ่งโรงงานของเรามีอายุกว่า 40 ปีแล้ว ถือว่าเป็นผู้ผลิตลูกอมรายใหญ่ติด 1 ใน 10 อันดับแรกของประเทศไทย” พิมลพัชร์เกริ่นนำพื้นฐานธุรกิจ

เธอกล่าวต่อว่า ตลาดธุรกิจลูกอมไทย มีมูลค่าประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาทต่อปี มีผู้ผลิตหลักประมาณ 10 กว่าราย ซึ่งตลาดดังกล่าวสถานการณ์ทรงตัวมายาวนาน แทบไม่มีการเติบโต หากยังทำธุรกิจเหมือนเดิม ไร้การพัฒนา นับวันธุรกิจยิ่งหดตัวลง ดังนั้น ตั้งแต่พี่สาวเข้ามาสานต่อธุรกิจก่อนหน้านี้ได้ยกระดับทำเป็นลูกอมสายรุ้ง ลูกอมเยลลี จนมาถึงตัวเธอที่เข้ามาเสริมทัพธุรกิจครอบครัวเมื่อปีที่แล้ว (2559) ได้พัฒนาสินค้าใหม่ทำเป็น “อมยิ้มน้ำตาลออแกนิก” เพื่อแตกไลน์เป็นขนมหวานเพื่อสุขภาพจับตลาดบน ภายใต้แบรนด์ “เพติ๊ด-ป๊อป”

“ธุรกิจลูกอมแบบธรรมดา มูลค่าตลาดคงที่ ในขณะที่ตลาดลูกอมใส่ลูกเล่นหรือมีความหลากหลาย ยังมีแนวโน้มเติบโตอีกได้ ดิฉันจึงพยายามหาฟังก์ชันพิเศษมาใส่ลูกอม จนได้แรงบันดาลใจจากหลานชายที่ติดอมยิ้มมาก จึงอยากให้หลานได้รับประทานอมยิ้มที่มีประโยชน์ควบคู่กันไป ทำให้ได้ไอเดียทำอมยิ้มที่ดีต่อสุขภาพ โดยใช้วัตถุดิบ “น้ำตาลออแกนิก” ไม่ผ่านกระบวนการใช้สารเคมีใดๆ เลย ตั้งแต่ปลูกจนถึงผลิต ส่วนรสชาติทำจากน้ำและเนื้อผลไม้ธรรมชาติแท้ 100% และใส่วิตามินรวมเสริม A B C D E โดยผลิตในกระบวนการมาตรฐานสูงสุด ช่วยให้อมยิ้มของเราถึงจะเป็นขนมหวาน แต่ก็ให้ประโยชน์ต่อเด็กๆ ที่รับประทานด้วย” ทายาทรุ่น 2 เผย

ส่วนรสชาตินั้น พิมลพัชร์พัฒนาร่วมกับทีม R&D ของบริษัท จุดหมายนอกจากดีต่อสุขภาพแล้ว รสต้องถูกใจเด็กๆ ด้วย โดยมีให้เลือก 3 รส ได้แก่ 1. รสน้ำแอปเปิลผสมเนื้อกล้วย 2. รสน้ำส้มวาเลนเซียผสมเนื้อมะม่วง และ 3. รสน้ำองุ่นผสมเนื้อสตรอเบอร์รี นอกจากนั้น ออกแบบรูปทรงของอมยิ้มเป็นรูปหน้าสัตว์ ได้แก่ ลิง แมว และหมี แต่ละตัวมีชื่อและเรื่องราวเป็นของตัวเอง ช่วยสร้างสีสัน และเติมความสนุกสนานใกล้ชิดเด็กๆ มากยิ่งขึ้น

กำหนดราคาขายปลีกชิ้นละ 20 บาท วางกลุ่มผู้บริโภคที่เด็กวัย 18 เดือนถึง 6 ขวบ ส่วนกลุ่มผู้ซื้อ มุ่งไปสู่ผู้ปกครองรุ่นใหม่ที่ต้องการหาสิ่งดีที่สุดเพื่อคนที่รัก และพร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ที่จะช่วยสร้างสุขให้แก่ลูกหลาน

“แม้เราจะนำเสนอว่าเป็นอมยิ้มที่ดีต่อสุขภาพ แต่ในอีกมุมหนึ่งต้องยอมรับว่านี่เป็นขนมหวาน ฉะนั้น การนำเสนอสินค้าไปสู่ลูกค้า เราสื่อสารข้อมูลว่าหลังจากรับประทานแล้วควรแปรงฟัน และรับประทานในปริมาณที่พอดี อย่างไรก็ตาม ย่อมต้องมีผู้ปกครองที่ปฏิเสธไม่ให้ลูกแตะขนมหวานใดๆ เลย ซึ่งกลุ่มนี้เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแนวคิดได้ แต่เราจะมุ่งสื่อสารไปยังกลุ่มผู้ปกครองที่พร้อมจะเปิดรับต่อสินค้าที่ลูกชอบ และได้ประโยชน์คู่กันไป โดยวางแนวคิดสินค้าให้เป็น everyone happiness หมายถึง ทั้งพ่อแม่และลูกต่างก็มีความสุขกับสินค้าตัวนี้” พิมลพัชร์ระบุ

ทุนแจ้งเกิดอมยิ้ม “เพติ๊ด-ป๊อป” เธอเผยว่าใช้งบประมาณหลักแสนบาท โดยอาศัยพื้นฐานเครื่องจักรและสายการผลิตของโรงงานที่บ้านทั้งหมด เบื้องต้นผลิตจำนวน 900 ชิ้น เริ่มทดสอบตลาด ขายผ่านทางออนไลน์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งผลตอบรับดีเกินคาด ขายหมดภายใน 2 วัน ทำให้เห็นโอกาสว่าสินค้าชนิดนี้เป็นที่ต้องการของตลาดจริง จากนั้นขยายการผลิต ปัจจุบันประมาณ 3,000 ชิ้นต่อวัน ยอดขายเฉลี่ยประมาณ 200,000-300,000 บาทต่อเดือน โดยมีช่องทางตลาดผ่านออนไลน์ ออกงานแสดงสินค้า วางในร้านขายยาตามห้างสรรพสินค้า และร้านขายของเล่น
“ดิฉันจะเปิดรับกับทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิต ไม่เคยรังเกียจที่จะลงมือทำ เพราะเชื่อว่าทุกโอกาสที่เข้ามา จะช่วยสร้างประโยชน์ให้เราได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
แผนธุรกิจในปีนี้ (2560) จะขยายช่องทางตลาดเพิ่มเติม วางขายในซูเปอร์มาร์เกตห้างสรรพสินค้า รวมถึงพัฒนาสินค้าตัวใหม่ที่ยังคงจุดยืนเป็นขนมหวานที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเด็กเช่นเดิม ตัวอย่างเช่น เดือนกุมภาพันธ์นี้จะออก “เยลลีรูปไดโนเสาร์” ที่ทำจากน้ำตาลออแกนิก รวมถึงพัฒนานำ “หญ้าหวาน” มาใช้ทดแทนน้ำตาล เป็นต้น กำหนดเป้าในปีนี้ยอดขายประมาณ 1 ล้านบาทต่อเดือน จากนั้นจะขยายสู่ตลาดส่งออกต่อไป นอกจากนั้น จะพยายามผลักดันสินค้าเปลี่ยนจากกลุ่มตลาดลูกอมไปสู่กลุ่มขนมคบเคี้ยว หรือสแน็ก ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ มีโอกาสเติบโตอีกมหาศาล

ทายาทสาวคนนี้ได้รับการถ่ายทอดดีเอ็นเอแห่งความเป็นผู้ประกอบการมาจากคุณพ่อเต็มร้อย ตั้งแต่เล็กถูกปลูกฝังให้ทำงานทุกอย่างในโรงงาน และคุณพ่อมักมีจดหมายน้อยเขียน “คำคมภาษาจีน” ให้ลูกๆ ทั้งห้าคนของท่านได้อ่านแล้วเก็บไปคิดเพื่อใช้เป็นหลักในการดำรงชีวิตและประกอบธุรกิจ เช่น “อย่าถือไม้ไผ่ขวางลำเดิน” หมายถึง “การจะเติบโตไปข้างหน้า ระหว่างทางอย่าทำให้คนอื่นบาดเจ็บ” รวมถึงคุณพ่อจะเป็นต้นแบบของนักธุรกิจที่ประสบสำเร็จด้วยความขยัน

เหล่านี้หล่อหลอมให้เธออยากเดินตามคุณพ่อ ดังนั้น หลังจบปริญญาตรี คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปทำงานประจำด้านการออกแบบที่สหรัฐอเมริกาเพื่อหาประสบการณ์ จากนั้นกลับมาทำธุรกิจล้างรถ และเมื่อต้นปี 2559 เข้ามาช่วยธุรกิจครอบครัวเต็มตัว
“ทายาทธุรกิจรุ่นใหม่บางคนจะปิดใจว่า ธุรกิจเดิมของครอบครัวไม่มีทางโตได้อีกแล้ว เพราะมองจากกรอบเดิมที่รุ่นพ่อแม่วางไว้ให้ แต่ดิฉันคิดว่า เมื่อเราเป็นคนรุ่นใหม่ ควรหาโอกาสใหม่ให้แก่สิ่งที่มีอยู่เดิม - พิมลพัชร์ ธนุสุทธิยาภรณ์
“ดิฉันจะเปิดรับกับทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิต ไม่เคยรังเกียจที่จะลงมือทำ เพราะเชื่อว่าทุกโอกาสที่เข้ามาจะช่วยสร้างประโยชน์ให้เราได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แม้บางครั้งทางที่เลือกจะไม่สำเร็จตามต้องการ แต่อย่างน้อยก็มีส่วนทำให้เรามามีวันนี้ได้ ทั้งเรื่องประสบการณ์ และความรู้ บทเรียนที่ผ่านมาช่วยสอนเราได้ทั้งสิ้น” เธอเผย พร้อมทิ้งท้ายถึงแนวคิดของคนรุ่นใหม่ที่มาสานต่อธุรกิจครอบครัว

“ทายาทธุรกิจรุ่นใหม่บางคนจะปิดใจว่าธุรกิจเดิมของครอบครัวไม่มีทางโตได้อีกแล้ว เพราะมองจากกรอบเดิมที่รุ่นพ่อแม่วางไว้ให้ แต่ดิฉันคิดว่าเมื่อเราเป็นคนรุ่นใหม่ ควรหาโอกาสใหม่ให้แก่สิ่งที่มีอยู่เดิม ตัวอย่างโรงงานของบ้านดิฉัน ลูกอมรุ่นคุณพ่อขายได้เม็ดละ 1 บาท มาถึงรุ่นพี่สาวที่เข้ามาพัฒนา ขายได้เม็ดละ 14 บาท จนถึงรุ่นดิฉัน ขายได้เม็ดละ 20 บาท ในขณะที่ต้นทุนการผลิตแทบไม่ต่างจากเดิม แต่เราใช้ดีไซน์ ความคิด และกรรมวิธีใหม่มาใส่เข้าไป ช่วยให้ธุรกิจของเราเติบโตและอยู่รอดมาได้” พิมลพัชร์ระบุ

ผลงานทายาทสาวที่มุ่งพัฒนาและแสวงหาโอกาสใหม่ให้ธุรกิจดั้งเดิม ช่วยให้วันนี้โรงงานลูกอมอายุ 40 ปีพร้อมสานต่อตำนานสู่วันข้างหน้าต่อไป



ติดต่อ www.petite-pop.com , call: 084-163-9245 , LINE: @PETITEPOPBKK , fb:PETITEPOPSHOP , IG:PETITEPOPSHOP

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น