กระทรวงอุตสาหกรรมผลักดัน 7 ยุทธศาสตร์พัฒนาวงการอุตสาหกรรม 1. ยุทธศาสตร์การเพิ่มผลผลิต 2. ยุทธศาสตร์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม 3. ยุทธศาสตร์การบริหารความปลอดภัย 4. ยุทธศาสตร์การบริหารงานคุณภาพ 5. ยุทธศาสตร์การจัดการพลังงาน 6. ยุทธศาสตร์การจัดการลอจิสติกส์ และ 7. ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม รองรับการเข้าสู่การเป็นผู้นำประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อีกทั้งยังช่วยทำรายได้เข้าสู่ประเทศได้มากขึ้น
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในปี 2559 ประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะรวมตัวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อย่างเต็มตัว ถือเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายต่อวงการอุตสาหกรรมไทย ในการนำรายได้เข้าสู่ประเทศจากการส่งสินค้าและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมออกไปขายในตลาดอาเซียน มีจำนวนประชากรรวมกว่า 600 ล้านคน มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม 10 ประเทศสมาชิก รวมกันสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 62 ล้านล้านบาท ดังนั้น เพื่อยกศักยภาพและขีดความสามารถผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทยในการก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำกลุ่มประเทศอาเซียนและเวทีโลก กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้เดินหน้าผลักดัน 7 ยุทธศาสตร์สำคัญ อันสะท้อนมาจากรางวัลอุตสาหกรรม 7 ประเภท ที่มอบให้แก่สถานประกอบการที่มีระบบบริหารจัดการผ่านเกณฑ์การประเมิน ซึ่งมีวัตถุประสงค์กระตุ้นและสร้างแรงจูงใจผู้ประกอบการไทยไม่ให้หยุดนิ่งในการพัฒนา ประกอบไปด้วย
1. ยุทธศาสตร์การเพิ่มผลผลิต โดยการเน้นปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติงานเพื่อให้ได้สินค้าและบริการที่มีคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ภายใต้การควบคุมต้นทุนการผลิต ลดการสูญเสียในทุกรูปแบบ โดยผนวกเอาเทคโนโลยีที่เหมาะสมเข้ามาใช้ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพพนักงานอย่างต่อเนื่อง
2. ยุทธศาสตร์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยการกำหนดนโยบายลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติจริงทั้งกระบวนการบริหารจัดการและการผลิต ซึ่งการใส่ใจผลกระทบคุณภาพสิ่งแวดล้อมไม่เพียงช่วยสร้างความมั่นคงและการยอมรับจากนานาชาติเท่านั้น แต่ขณะเดียวกันยังทำให้สถานประกอบการสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนและสังคมรอบข้างได้อย่างยั่งยืน
3. ยุทธศาสตร์การบริหารความปลอดภัย โดยการสร้างระบบการจัดการความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เพราะความปลอดภัยในการปฏิบัติงานนั้นส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของพนักงาน เมื่อการทำงานมีระบบจัดการอันตรายที่ดีและมีประสิทธิภาพ ก็ย่อมจะทำให้ผลิตภาพการทำงานดีขึ้นตามไปด้วย
4. ยุทธศาสตร์การบริหารงานคุณภาพ โดยการจัดการระบบบริหารงานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จ ทั้งนี้ การที่สถานประกอบการใดจะสามารถบริหารงานได้อย่างมีคุณภาพ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ปฏิบัติงานทุกคนในการรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมายอย่างเต็มกำลังความสามารถ
5. ยุทธศาสตร์การจัดการพลังงาน โดยการตั้งเป้าหมายในการใช้พลังงานทุกประเภทให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ลดปริมาณการใช้พลังงานที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ซึ่งการวางนโยบายลดใช้พลังงานอย่างจริงจังนั้นไม่เพียงส่งผลดีต่อการลดอัตราสิ้นเปลืองพลังงานของประเทศ แต่ในขณะเดียวกันยังช่วยลดต้นทุนการผลิตให้น้อยลงอีกด้วย
6. ยุทธศาสตร์การจัดการลอจิสติกส์ โดยการบริหารจัดการระบบการขนส่งสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน ต้นทุนเวลา และต้นทุนค่าเสียโอกาส ซึ่งหากผู้ประกอบการมีระบบขนส่งสินค้าที่ดี นอกจากจะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ ยังช่วยสร้างโอกาสในการขายสินค้าได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน
7. ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม โดยการพัฒนาและส่งเสริมผู้ประกอบการในทุกๆ ด้าน ทั้งการวิเคราะห์ตลาดความต้องการของผู้บริโภค การบริหารจัดการ การผลิต และช่องทางการตลาดและการจัดจำหน่าย เพื่อช่วยให้กิจการ SMEs ซึ่งถือเป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญ เพราะมีสัดส่วนทั่วประเทศมากกว่าร้อยละ 95 สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสอบถามได้ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0-2202-4414-18 หรือเข้าไปที่ www.dip.go.th หรือwww.facebook.com/dip.pr ขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรมจะจัดพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรมประจำปี 2558 ในวันที่ 23 ก.ย. 2558 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อิมแพ็ค เมืองทองธานี
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SME ผู้จัดการออนไลน์” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *