ถ้ถ้าเอ่ยชื่อ “ธิดารัตน์ สุทธิวาทนฤพุฒิ” เชอรี่ หลายคนจะรู้จักเธอจากการเป็นเชฟอาหารสุนัข ที่ใช้ชื่อเพจว่า “วอดก้าบอย” และปัจจุบันเธอได้ชื่อว่าเป็นเชฟอาหารสุนัขคนเดียวในเมืองไทยในขณะนี้
“เชอรี่” เล่าว่า เธอไม่ได้คิดว่าการเป็นเชฟอาหารสุนัขคืออาชีพแต่อย่างใด เพราะไม่คิดว่าจะหารายได้จากการเป็นเชฟน้องหมา แต่ทุกอย่างเกิดจากความรักในเจ้าสุนัขสี่ขาที่เลี้ยงไว้เหมือนกับลูก และสมาชิกของครอบครัว ซึ่งความเป็นเชฟครั้งนี้มาจากความบังเอิญ ที่เมื่อครั้งได้พบกับคุณหมอนักโภชนาการสุนัขในงานอีเวนต์งานหนึ่ง หลังจากพูดคุยซักถาม หลังจบงาน จู่ๆ ก็เกิดความคิดว่าน่าจะลองทำอาหารให้ลูกๆ (สุนัข) กินเอง แทนที่จะให้กินแต่อาหารสำเร็จรูป
หลังจากนั้นได้เสาะแสวงหาว่า อาหารสำเร็จรูป และเบเกอรีที่เหมาะกับสุขภาพของสุนัขที่ขายกันทั่วไปนั้นมีส่วนผสมอะไรอยู่บ้าง และก็ได้เริ่มศึกษาจากเว็บไซต์ในต่างประเทศ ซึ่งได้ความรู้จากเว็บไซต์เหล่านั้นเยอะมาก และพบว่าแท้จริงแล้วในต่างประเทศเขาทำอาหารสวยให้สุนัขได้รับประทานกันมานานแล้ว หลังจากนั้นได้พรินต์สูตรอาหารสุนัขที่พบในเว็บไซต์และมาปรึกษาคุณหมอดูว่ามีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุนัขอย่างไรบ้าง ก่อนที่จะลงมือทำ ในปีแรกเริ่มจากการลองผิดลองถูก โดยมีคุณหมอเป็นที่ปรึกษาโดยตลอด และในปีถัดมาก็เริ่มทำอาหารหลากหลาย ทั้งอาหารไทย อาหารฝรั่ง ขนม เบเกอรี ซึ่งทุกอย่างนั้นเน้นถูกหลักโภชนาการทั้งหมด
“เชอรี่” เล่าว่า จากการศึกษาเรื่องของโภชนาการอาหารสุนัข พบว่าสุนัขบางสายพันธุ์มีปัญหาจากการกินอาหารบางประเภท เช่น บางสายพันธุ์แพ้เนื้อวัว เนื้อปลา ฯลฯ ซึ่งพอแพ้มาก ทำให้ขนร่วง หรือผิวหนังเห่อพองเป็นเม็ดเต็มตัว ด้วยเหตุนี้คนก็เลยตัดปัญหา เพราะไม่รู้ว่าสุนัขตัวเองแพ้อะไร ก็เลยหนีไปพึ่งอาหารสำเร็จรูปแทนการทำอาหารให้สุนัขกินเอง
ทั้งนี้ จากการศึกษา ทำให้เราสามารถที่จะเลือกอาหารให้สุนัขได้เหมาะกับสายพันธุ์ อายุ และน้ำหนัก และสามารถหาวัตถุดิบได้หลากหลาย ภายใต้โภชนาการอาหารสุนัขที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีต่อสุนัข เพราะเขาจะได้กินอาหารที่สดใหม่ และไม่สูญเสียสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย นอกจากสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว สิ่งที่คุณเชอรี่ให้ความสำคัญคือ เรื่องของหน้าตาและการจัดจานอาหารที่ต้องสวยงาม เช่นเดียวกับของคน
“การทำอาหารสุนัขไม่ได้อยู่ที่ว่าสุนัขกินหรือไม่กิน แต่เรายังต้องให้ความสำคัญต่อหน้าตาและความสวยงาม ถึงแม้ว่าสุนัขเขาอาจจะไม่ได้รู้สึกเหมือนคน แต่ทุกอย่างเป็นความสุขของเราที่ได้ทำ เพราะเราเลี้ยงเขาเหมือนกับลูก ไม่ได้เลี้ยงเขาเป็นสุนัข”
ดังนั้น การทำอาหารสุนัขของเธอไม่ได้จบเพียงแค่ลูกรัก (สุนัข) ของเธอเท่านั้น แต่เธอยังได้เผื่อไปยังลูก (สุนัข) ของคนอื่นๆ ที่รักสุนัขเหมือนกับเธอ โดยการนำอาหารและสูตรการทำอาหารมาเผยแพร่ผ่านทางบล็อกที่เธอตั้งขึ้น ชื่อ “วอดก้าบอย” จนมีคนเห็นจำนวนมาก และเป็นที่มาของอาชีพที่เธอไม่คาดคิด เพราะหลังจากนั้นมีคนมาชักชวนให้เธอเป็นคอลัมนิสต์ให้แก่แมกกาซีนสัตว์เลี้ยง
เชอรี่เล่าว่า ที่ผ่านมาคุณหมอที่ปรึกษาเคยถามว่าจะทำขายหรือเปล่า ตอบคุณหมอไปทันทีว่า ไม่ได้คิดทำขายเลย แค่อยากทำให้ลูกๆ กินเท่านั้น และถ้าทำแล้วอาหารออกมาสวย และลูกๆ กินแล้วท้องไม่เสีย ก็อยากจะบอกต่อให้คนอื่นๆ ได้รู้ และทำตามด้วย เพราะมันจะได้ความรู้สึกอีกแบบที่ไม่สามารถซื้อได้ แต่สิ่งเหล่านี้เราสามารถที่จะทำให้กับลูกได้ โดยไม่ได้คิดถึงเรื่องตัวเงิน
ความตั้งใจทั้งหมด จากการไม่ได้คาดหวังเรื่องเงินทอง แต่เงินทองก็มาเองจากความตั้งใจของเธอ เพราะเวลาผ่านไปไม่นาน ความสวยงามของอาหารที่เธอทำนอกจากช่วยดึงดูดน้องหมา และคนเลี้ยงน้องหมาให้มาสนใจเธอแล้ว ก็ยังมีสินค้าที่เกี่ยวกับอาหารสุนัขสารพัดแบรนด์ต่างพาเหรดมาให้เธอช่วยออกแบบสร้างสรรค์เมนูอาหารจานสวยออกมามากมาย และขยับขยายกลายเป็นทำงานอีเวนต์ในเวลาต่อมา
“ที่มาของการทำงานอีเวนต์ในครั้งนี้ มาจากมีแบรนด์สินค้าเห็นเราทำอาหารแล้วหน้าตาสวย เลยอยากลองให้เราเอาสินค้าเขามาทำบ้าง ทำไปสักพักเขาก็ชวนให้ไปทำอีเวนต์ ซึ่งอีเวนต์ของเราจะเป็นสไตล์แบบสั้นๆ กระชับ เป็นกันเอง เน้นให้คนที่มาร่วมงานมีส่วนร่วม และก็ไม่ลืมกิจกรรมที่ต้องให้น้องหมาได้มีส่วนร่วมในครั้งนี้ด้วย”
การสร้างกิจกรรมเอาใจน้องหมา ในแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ “เชอรี่” เธอมีเคล็ดลับอยู่ที่ การแทนใจเขา ใจเรา คือ ต้องเอาใจทั้งผู้ปกครองน้องหมาและน้องหมาให้เสมอภาคกัน และความสำเร็จในแต่ละครั้งที่จัดงานอีเวนต์น้องหมา จึงส่งให้เธอเป็นแถวหน้าของวงการในฐานะผู้จัดงานอีเวนต์น้องหมาของเมืองไทยไปแล้ว
สนใจ www.facebook.com/vodkaboy.drunkfamily
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *