ศูนย์วิจัย ม.ธุรกิจบัณฑิตย์เผยนักธุรกิจต่างชาติแห่เรียนภาษาจีนแซงหน้าภาษาอังกฤษ หวังสร้างความได้เปรียบเจรจาธุรกิจจีนกว่า 200 ล้านคน พร้อมรับศึกษานักท่องเที่ยวแดนมังกร
นายเกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดเผยถึงผลสำรวจนักลงทุนต่างชาติ 5 ประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยเกี่ยวกับเศรษฐกิจประเทศไทย พบว่า จากประสบการณ์ของนักธุรกิจต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจในไทยเกิน 1 ปี มองว่าภาษาที่มีความสำคัญที่สุดต่อการทำธุรกิจในประเทศไทยและเชื่อมโยงกลุ่มประเทศเอเชียคือภาษาจีน รองลงมาเป็นภาษาอังกฤษ, ภาษาญี่ปุ่น และภาษาอินโดนีเซียหรือมลายู เป็นต้น เพราะปัจจุบันมีนักธุรกิจจีนที่ไปลงทุนในต่างประเทศทั่วโลกมากถึง 200 ล้านคน และมีตลาดรองรับการจำหน่ายสินค้าไม่ต่ำกว่า 1,300 ล้านคน
“นักธุรกิจ 5 ประเทศที่มาลงทุนในไทยที่ได้สำรวจ คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และมาเลเซีย ซึ่งประเทศเหล่านี้ก็ให้ความสำคัญต่อภาษาจีนมากขึ้น ซึ่งมีทั้งการส่งลูกน้องไปเรียนภาษาเพิ่ม การรับพนักงานที่มีความรู้ด้านภาษาจีน และการส่งให้ลูกหลานไปเรียนภาษาเพื่อมาใช้ในการทำธุรกิจในอนาคต โดยการเรียนก็ต้องเรียนควบคู่กันไปกับภาษาอังกฤษ เพราะหากพูดภาษาจีนได้นักธุรกิจจีนจะให้ความสำคัญในการทำธุรกิจง่ายขึ้น” ผอ.ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์กล่าว
ขณะเดียวกันยังพบว่า ที่ผ่านมานักธุรกิจของจีนจำนวนมากก็ได้ส่งทายาทมาเรียนภาษาและหนังสือในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะนักธุรกิจจีนมองว่าประเทศไทยจะเป็นแกนกลางของอาเซียนในการทำธุรกิจหลังจากที่มีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) แสดงให้เห็นว่านักธุรกิจต่างชาติแสดงความเชื่อมั่นถึงทิศทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 57 และปี 58 พบว่า นักลงทุนต่างชาติ 5 ประเทศได้ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 57 เฉลี่ยที่ระดับ 2.71% ซึ่งนักธุรกิจจีนจะมีมุมมองที่ดีสุด โดยประเมินเศรษฐกิจไทยขยายตัวถึง 2.78% และปี 58 ขยายตัวเฉลี่ยที่ 3.58% โดยนักธุรกิจมาเลเซียประเมินการขยายตัวเศรษฐกิจไทยมากสุดที่ 3.63%
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SME ผู้จัดการออนไลน์” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *