xs
xsm
sm
md
lg

'Lucky Bunny Café' คาเฟ่กระต่ายแห่งแรกในไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

Lucky Bunny Café ร้านคาเฟ่กระต่ายแห่งแรกในไทย
ถึงแม้ว่าคาเฟ่กระต่ายของ “กัลยานี เจียมสินสกุล” และ “ศุภโชค อินทรัตนพล” จะเพิ่งเปิดบริการไปเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2556 ที่ผ่านมา แต่เรื่องผลตอบรับนั้น ต้องบอกว่าดีกว่าที่ทั้งคู่คาดไว้มาก

และถึงแม้จะโปรโมทร้านผ่านแค่ช่องทาง Facebook Fanpage แต่ก็ได้รับความสนใจอย่างดี แค่ 3 เดือนแรก ก็มียอดกดไลค์กว่า 4,000 พร้อมกับลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาเล่นกับน้องกระต่ายจนแน่นร้านทุกวัน
 “กัลยานี เจียมสินสกุล” (ขวา) และ “ศุภโชค อินทรัตนพล”  เจ้าของธุรกิจ
กัลยานี เล่าย้อนถึงไอเดียในการสร้างธุรกิจว่า เดิมทีนั้นตนเองมีธุรกิจอยู่แล้ว 2 อย่าง คือ โรงงานผลิตเซรามิก และโรงงานเย็บผ้าสำหรับงานส่งออก

แต่ช่วงปีที่ผ่านมา ต้องเจอกับปัญหาแรงงานขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นเป็น 300 บาท จึงสู้ค่าแรงไม่ไหว ต้องปิดโรงงานเซรามิกไป เหลือเพียงโรงงานเย็บผ้า ผลิตสินค้าที่ใช้ตกแต่งภายในบ้านเกรดพรีเมี่ยม และส่งออก

“พอโรงงานเซรามิกปิดตัวไป มีเวลาว่างมากขึ้น ก็เริ่มมองหาอะไรทำที่บ้าน พอดีว่าลูกสาวไปเที่ยวคาเฟ่แมวในต่างประเทศแล้วติดใจ ก็กลับมาเล่าให้ฟังว่า เราน่าจะลองทำคาเฟ่กระต่ายดูบ้าง เพราะเขาเห็นว่าเราเป็นคนชอบกระต่าย ถึงแม้จะยังไม่เคยเลี้ยงก็ตาม

ที่สำคัญมันเป็นธุรกิจที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย ด้วยความแปลก และใหม่ ก็น่าจะมีโอกาสทางธุรกิจอยู่ เราเองก็อายุเยอะแล้ว ไม่ชอบออกไปไหน ก็เนรมิต บ้านให้กลายเป็นคาเฟ่กระต่ายไปเลย เพราะเราก็ทำโรงงานผ้ามา เรื่องของตกแต่งบ้านน่ารักๆ เป็นสิ่งที่ถนัดอยู่แล้ว

ขั้นตอนที่ยากที่สุด คือ การเลือกซื้อกระต่าย เพราะเราไม่เคยเลี้ยงมาก่อน ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า กระต่ายมีกี่สายพันธุ์ มีอะไรบ้าง ก็เริ่มจากการศึกษาข้อมูล และไปเดินหาซื้อกระต่ายที่สวนจตุจักร แล้วก็โชคดีมาก ไปเจอกระต่ายจากฟาร์ม Rabbit Instinct จังหวัดเพชรบุรี แต่เขามีหน้าร้านอยู่ที่สวนจตุจักร

เราก็พบว่าฟาร์มแห่งนี้มีวิธีดูแลกระต่ายได้ดีมาก ภายในฟาร์มไม่มีกลิ่นเหม็นเลย ซึ่งตอนแรกเราก็กลัว เพราะได้ยินมาว่ากระต่ายฉี่เหม็น พอรู้ทริค และเข้าใจถึงวิธีการเลี้ยงดูที่ถูกต้องแล้ว ก็ตัดสินใจซื้อกระต่ายมาเลย 10 ตัว ตอนนั้นก็คิดแค่ว่า ถ้าทำแล้วเจ๊งก็ไม่เป็นไร ก็เท่ากับว่าเราซื้อกระต่ายมาเลี้ยงเอง เพราะพวกเขาน่ารักมากจริงๆ

แล้วก็เป็นการทำธุรกิจอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องเสียค่าเช่า ไม่ต้องลงทุนอะไรเยอะ เราเองก็ทำงานด้านผ้า ด้านตกแต่งภายในอยู่แล้ว เรื่องการแต่งร้านให้ดูน่ารักจึงเป็นงานที่ถนัด รวมไปถึงการแต่งสวนบริเวณรอบๆบ้าน ให้สามารถใช้พื้นที่ได้ทั้งหมด ภายใน 1 เดือน ก็สามารถเปิดให้บริการได้” กัลยานี เล่าถึงจุดเริ่มต้น

ร้าน Lucky Bunny Café เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2556 ด้วยอัตราค่าบริการ 150 บาทต่อคน พร้อมการให้บริการที่ครอบคลุมอีก 5 อย่าง ประกอบด้วย

“อย่างแรกเลย บริการอาหารและเครื่องดื่ม เดิมทีตั้งใจว่าจะมีแค่ขนมง่ายๆและเครื่องดื่ม แต่ปรากฏว่าเรามีลูกค้าหลากหลายกลุ่มทั้งคนวัยทำงาน และกลุ่มครอบครัว ที่ต้องการมากกว่าขนมทานเล่น พอดีกับช่างเย็บผ้าของเราที่มีอยู่ ทำอาหารเก่งมาก เลยสามารถเปิดให้บริการทั้งเมนูอาหารคาว ของว่าง ขนม และเครื่องดื่มได้เต็มรูปแบบ

สอง มีบริการให้ลูกค้าเอากระต่ายที่ตัวเองเลี้ยงมาเล่นกับกระต่ายที่นี่ได้ เพราะบางคนก็ไม่มีสถานที่กว้างๆให้ลูกวิ่งเล่น บางคนมานั่งทานข้าว แล้วก็ปล่อยให้ลูกๆวิ่งเล่นบริเวณนอกบ้านที่เราจัดสวนเอาไว้ และมีบ้านกระต่ายกับของเล่นวางอยู่ เหมือนเป็นคอกพัก พอกินข้าวเสร็จ ก็ค่อยเอาลูกๆเข้าไปวิ่งเล่นกับกระต่ายของเราในคอกจริงที่อยู่ในห้อง เขาอาจจะมานั่งทานข้าว แล้วปล่อยลูกออกไปวิ่งเล่นข้างนอก แต่ก็ยังมองเห็นได้ เป็นเหมือนคอกพักให้เขาเล่นตัวเดียวไปก่อน จากนั้นค่อยมาคอกจริง มาเล่นกับกระต่ายที่เราเลี้ยงไว้ในห้อง

สาม ก็คือ บริการรับฝากกระต่าย แต่อันนี้จะค่อนข้างละเอียดอ่อน เพราะกระต่ายเป็นอะไรที่ตายง่ายมาก บางทีแค่ย้ายที่อยู่เขา ทุกอย่างกลิ่นใหม่หมด แค่โฮมซิก เขาก็ตายได้แล้ว เราจึงค่อนข้างคัดเลือกลูกค้าพอสมควร

สี่ การขายของที่ระลึกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชามอาหาร กล่องใส่กระดาษทิชชู่ เสื้อยืด ฯลฯ นอกจากชื่อแบรนด์ Lucky Bunny แล้ว ลูกค้าอาจจะสั่งให้เราเพนท์รูป หรือชื่อลูกของเขาบนเสื้อยืด หรือของใช้ต่างๆก็ได้

และบริการสุดท้าย คือ รับสั่งทำบ้านกระต่าย ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ เริ่มต้นที่ 3,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของบ้าน และอุปกรณ์ประกอบ อย่างไม้ลื่น ไม้กระดก” เจ้าของธุรกิจ อธิบาย และเสริมต่อว่า

“จะเห็นได้ว่าร้านของเรามีบริการที่ครบถ้วน ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การขายกระต่ายเพียงอย่างเดียว เพราะเราต้องการสร้างให้เป็นจุดศูนย์กลางสำหรับคนที่รักกระต่าย ได้มารวมตัวกัน พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน สัดส่วนคนที่มาใช้บริการมีทั้งที่เลี้ยงกระต่ายและไม่เลี้ยงพอๆกัน

ถึงแม้จะคิดค่าบริการ 150 บาทต่อคน แต่เราก็ไม่ได้จำกัดเวลา บางคนมานั่งกินอาหาร มานั่งทำงานตั้งแต่ร้านเปิดจนร้านปิดเลยก็มี หรือน้องๆนักศึกษาบางคนก็มาทุกวัน แถมยังพาเพื่อนมาทีเป็น 10 คน จนเรายกให้เป็นสมาชิก VIP ไปแล้ว อีกทั้งค่าบริการ 150 บาทนี้ ยังเอามาเปลี่ยนเป็นค่าอาหารได้ทั้งหมดอีกด้วย”

จุดเด่นที่สำคัญของคาเฟ่กระต่ายแห่งนี้ คือ การมีหุ้นส่วนธุรกิจที่มีความชำนาญอย่างฟาร์ม Rabbit Instinct ที่ช่วยให้ความรู้ และทริคในการเลี้ยงกระต่าย รวมไปถึงการคัดเลือกกระต่ายสายพันธุ์ที่เหมาะสม และมีรูปร่างลักษณะที่สวยมาไว้ในร้าน และสำหรับขายให้แก่คนที่รักกระต่ายอีกด้วย

“สำหรับกระต่ายที่ทางร้านเลือกมานั้น จะมีอยู่ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ Mini Rex, Netherland Dwarf, Holland Lop และ Dutch ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดตัวเล็กถึงปานกลาง มีขนสั้น ง่ายต่อการดูแลรักษา สายพันธุ์ที่ไม่เอามาเลย คือ Teddy Bear และ Woody Toy เพราะมีขนาดตัวที่ค่อนข้างโต และมีขนยาว ยากต่อการดูแล

สิ่งหนึ่งที่คนทั่วไปมักไม่รู้ ก็คือ กระต่ายสามารถฝึกได้ไม่ต่างจากสุนัข เช่น ยืน 2 ขา, กระโดด 2 ขา, กระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง, ดีดนิ้วเรียกแล้วมาหา, กระโดดขึ้นมานั่งบนตัก หรือแม้กระทั่งกดกระดิ่งขออาหารกินเองได้

แต่ทั้งนี้ก็ต้องคอยศึกษาพฤติกรรมของพวกเขา เพราะกระต่ายแต่ละตัวก็มีอุปนิสัยที่แตกต่างกันไป ถึงจะสายพันธุ์เดียวกันก็ตาม หลายคนชอบถามเราว่ากระต่ายสายพันธุ์ไหนฉลาดที่สุด หรือเชื่องที่สุด เราก็จะไม่โกหกลูกค้า

เรื่องการฝึกกระต่าย เป็นหน้าที่ของคุณศุภโชค ที่จะคอยสังเกตอุปนิสัยของกระต่ายแต่ละตัว เช่น บางตัวซน ไม่ขี้กลัว ก็จะฝึกให้เล่นของเล่น บางตัวเรียบร้อย ขี้เกียจ ก็จะฝึกให้เขานอนหงายให้คนมาลูบตัวได้เป็นเวลานานๆ ลูกค้าชอบกระต่ายตัวไหน ก็สามารถเอาออกมาฝึกได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าชอบมาก เพราะเขารู้สึกว่ามีส่วนร่วม

ที่สำคัญอีกเรื่อง คือ ลูกค้าที่จะเข้ามาเล่นกับกระต่าย ต้องล้างมือ และฉีดแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อก่อนทุกครั้งแล้วค่อยมาจับกระต่าย เพราะมือเราไปสัมผัสอะไรมาเยอะแยะ กระต่ายเขาเป็นสัตว์ที่สะอาดและบอบบางมาก

นอกจากนี้เรายังเป็นพาร์ทเนอร์กับโรงพยาบาลสัตว์ขวัญคำ จะมีคุณหมอเข้ามาตรวจสุขภาพกระต่ายเดือนละ 2 ครั้ง ตัวที่ไม่ผ่านเกณฑ์เราก็จะส่งคืนฟาร์ม สาเหตุที่ไม่ผ่าน 1.ฟันเหยิน ปัญหาของกระต่ายโดยมากเป็นเรื่องฟัน เพราะเขาเป็นสัตว์ฟันแทะ ถ้าไม่ได้แทะ ฟันเขาจะเหยินแล้วก็แทงทะลุออกไป เราเลี้ยงไม่ได้ ต้องคืนฟาร์ม
หรือบางตัวอ่อนแอมาก ขี้กลัวจนเกินไป ผอมเกินเกณฑ์ อาจเพราะกินนมแม่ไม่ครบ หรือกินนมแม่ไม่ทัน บางทีเลี้ยงหลายๆตัวก็ดูแลไม่ทั่วถึง คุณหมอจะเป็นคนมาคัดเลือกให้เรา ว่าตัวไหนผ่านเกณฑ์ ตัวไหนควรจะคืนฟาร์มไป เพราะถ้าเอาเขามาแค่ 1-2 อาทิตย์แล้วเขาตาย มันไม่ใช่เรื่องของเงินที่เราเสียไปนะ แต่มันเป็นเรื่องของจิตใจ เราคงทำใจไม่ได้

อีกทั้ง ที่นี่เป็นเสมือนโรงเรียน คนที่จะซื้อกระต่ายเราไปเลี้ยง ต้องซื้อหนังสือคู่มือเลี้ยงกระต่ายไปอ่านก่อน ดูแลอย่างไร เล่นด้วยอย่างไร ก่อนที่เราจะขายให้ เราเลือกคนเลี้ยงมาก พอทางฟาร์มส่งกระต่ายมา เราก็จะเก็บไว้ให้ครบ 2 เดือน เพื่อฝึกให้เขาเข้าห้องน้ำเป็น ไม่อย่างนั้นถ้าซื้อไปแล้วเขาไปฉี่เลอะเทอะ อึเลอะเทอะ เจ้าของก็จะหงุดหงิด เป็นภาระ กระต่ายของที่นี่ทุกตัวจะเข้าห้องน้ำเป็นหมด เวลาจะฉี่จะอึ เขาจะวิ่งเข้าบ้านไปทำธุระ เสร็จแล้วก็ออกมาวิ่งเล่นต่อ”

เธอบอกว่า ช่วงแรกในในอาชีพนี้ เป็นเหมือนช่วงเรียนรู้ ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง เพราะไม่เคยมีโมเดลธุรกิจนี้มาก่อนในไทย

“ปัจจุบันนี้คนที่เอากระต่ายมาเล่นจะเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่า เพราะเรามีกฏระเบียบค่อนข้างเยอะ แรกๆใครอยากเอามาก็เอามาได้เลย กลายเป็นว่าที่นี่เป็นแหล่งเชื้อโรค บางคนเลี้ยงกระต่ายไม่ดูแล ส่วนบางคนเลี้ยงแล้วดูแลทุกอย่าง พาไปหาหมอทุกเดือน พอคนที่ไม่ดูแลเอากระต่ายมาเล่น ก็มีตัวไร ลูกเราติดไรกันหมด พอคุณหมอมาดู ก็สั่งให้เราตั้งกฎระเบียบใหม่เลย ต่อไปลูกค้าที่จะพากระต่ายมาเล่น 1.ห้ามผลัดขน เพราะมันจะฟุ้งกระจายไปหมด เข้าไปในแอร์ ทำให้เราทำความสะอาดยากมาก แล้วยังรบกวนลูกค้าท่านอื่น ต้องใส่หน้ากากกันเลย ลูกของเราเองตัวไหนที่ผลัดขนเราก็ไม่เอาออกมาเลยนะ

2.ต้องหยอดไร (หยอดยาฆ่าตัวไร) มาแล้ว ตอนนี้เราคอนโทรลเด็กของเราได้หมด กระต่ายทุกตัวไม่มีไร ที่ตั้งกฎขึ้นมาก็เพื่อประโยชน์ของสัตว์เลี้ยงคุณเองด้วย ดังนั้นจะต้องหยอดไรมาไม่เกิน 2 เดือน คือ ถ้าจะให้ดีต้องหยอดทุก 2 เดือน เหมือนที่เราทำ ซึ่งคนที่รักกระต่ายจริงๆเขาจะเข้าใจเรา บางคนบอกงั้นอาทิตย์นี้ยังไม่เอามา ขอเอากระต่ายไปหยอดไรก่อน”

สำหรับลูกค้าของที่นี่ จะมีทุกกลุ่มตั้งแต่วัยรุ่น ไปจนถึงกลุ่มครอบครัวแล้ว ก็ยังมีลูกค้ามาจากต่างจังหวัด อย่าง เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต และตาก รวมไปถึงลูกค้าต่างชาติที่รู้ข่าวจากทาง facebook ทั้งชาวสิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่น และรัสเซีย โดยมาเป็นนักท่องเที่ยว ที่แวะเข้ามาหาเรา เวลาที่มาเที่ยวประเทศไทย

“ลูกค้าของเรานอกจากจะเป็นคนรักสัตว์แล้ว ก็ยังมีอีกกลุ่มที่เป็นคนรักการแต่งคอสเพลย์ เขาก็จะแต่งตัวแบบจัดเต็มมาเลย เพื่อถ่ายรูปกับน้องกระต่าย หรือไม่ก็เอาตุ๊กตาตัวเล็กมาวางถ่ายด้วย แล้วก็อัพขึ้น facebook ช่วยแชร์ภาพต่อๆไปกัน ทำให้คนแน่นร้านทุกวัน โดยเฉพาะในวันเสาร์-อาทิตย์ รายได้เฉลี่ยตอนนี้ อยู่ที่เดือนละ 200,000 บาท”

ต้องบอกว่าเราพอใจกับผลตอบรับในตอนนี้มาก แต่ก็มีโปรเจ็กต์ต่อไปที่เตรียมไว้แล้ว  ตอนนี้ปัญหาอย่างหนึ่ง ก็คือ เราไม่ได้ให้ลูกค้าอุ้มกระต่าย แต่คนเขาอยากจะอุ้ม อยากจะนัวเนีย ก็เลยตั้งใจว่าจะห้องใหม่ขึ้นมา มีทั้งหมด 4 คอก สำหรับให้คนลงไปนั่งเล่นกับกระต่ายในคอกเลย

โดยคอกหนึ่งลงไปได้ 2-4 คน แล้วก็จะมีอาหารจำหน่าย ให้คนซื้อให้กระต่ายกินเวลาลงไปเล่น ซึ่งเรากำลังเป็นห่วงเรื่องของความสะอาดอยู่ ว่าจะควบคุมยังไง แต่ถ้าเราทำได้ ก็จะเป็นคาเฟ่กระต่ายแห่งแรกของโลกเลย เพราะอย่างที่เกาหลี หรือญี่ปุ่น ก็ยังไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน และเท่าที่สอบถามความคิดเห็นของลูกค้า ว่าถ้าเราเปิดบริการแบบนี้ แล้วคิดค่าบริการเพิ่ม ซึ่งเป็นค่าบริการที่เสียเปล่าเลยนะ อาจจะชั่วโมงละ 100 บาท ครึ่งชั่วโมง 50 บาท คิดว่าไหวไหม ทุกคนบอกว่าไหว ไม่มีปัญหา นี่ คือเป้าหมายต่อไปที่เราจะทำในอนาคตอันใกล้นี้” กัลยานี ตบท้ายถึงแผนในอนาคต

ใครสนใจจับคู่ธุรกิจหรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับ Lucky Benny Café ติดต่อได้ที่ 08 5195 5465 หรือ facebook.com/pages/Lucky -Bunny-Café-Restaurant

@@@ ข้อมูลโดยนิตยสาร SMEs Plus @@@

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น