xs
xsm
sm
md
lg

ม.หอการค้าไทยชี้ เอสเอ็มอี สิ่งทอ ค้าปลีก น่าห่วง เริ่มขาดสภาพคล่อง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 นายธนวรรธน์  พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยสำรวจความสามารถการแข่งขันธุรกิจเอสเอ็มอี พบว่าเอสเอ็มอีไทยมีความเข้มแข็งในระดับปานกลาง ส่วนใหญ่ประสบปัญหาต้นทุนที่สูงขึ้น ธุรกิจที่น่าเป็นห่วงเป็นกลุ่มธุรกิจสิ่งทอ และค้าปลีก เริ่มขาดสภาพคล่อง กำไรลดลง

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ SMEs ประจำไตรมาสที่ 1/2556 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,106 พบว่า สัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ระดับ 61.5 ซึ่งสูงกว่าระดับ 50 แสดงว่าผู้ประกอบการเห็นว่าสถานการณ์ในการประกอบธุรกิจยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี หรือมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น ขณะที่หากแยกเป็นรายธุรกิจ จะพบว่า ธุรกิจสิ่งทอและแฟชั่น และธุรกิจค้าปลีก เริ่มมีปัญหาขาดสภาพคล่อง และกำไรสุทธิมีแนวโน้มลดต่ำลง ขณะที่ดัชนีความสามารถในการทำธุรกิจของ SMEs โดยรวมในไตรมาสแรกอยู่ที่ระดับ 59.5

ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า ธุรกิจเอสเอ็มอีทุกประเภท ทั้งภาคการค้า ภาคการผลิต และภาคบริการ กำลังประสบปัญหาเรื่องต้นทุนของสินค้า บริการ ซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยธุรกิจสิ่งทอและแฟชั่นได้รับผลกระทบจากต้นทุนต่อหน่วยมากสุดอยู่ที่ระดับ 24.6 รองลงมาธุรกิจค้าปลีกอยู่ที่ระดับ 30.6 ขณะที่ดัชนีความยั่งยืนของธุรกิจ SMEs โดยรวมอยู่ที่ระดับ 57.7 แม้จะอยู่ในระดับเกินครึ่ง แต่ยังพบว่าธุรกิจเกือบทุกประเภทมีการลงทุนในกิจการด้านการตลาด ด้านบุคลากร ด้านไอที และด้านสังคม ซึ่งทั้ง 4 ปัจจัยมีผลต่อความยั่งยืนของธุรกิจอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ

อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยมองว่า ภาพรวมของธุรกิจเอสเอ็มอีในประเทศไทยมีความเข้มแข็งในระดับปานกลาง แต่เชื่อว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่นได้หากมีการพัฒนาธุรกิจให้สามารถแข่งขันกับธุรกิจอื่นได้ นอกจากนี้ ธุรกิจเอสอ็มอีส่วนใหญ่ทั่วประเทศยังได้รับผลกระทบจากต้นทุนต่างๆ ไม่ว่าอัตราค่าจ้างแรงงาน หรือการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ค่อนข้างเข้าถึงลำบาก ซึ่งส่งผลให้หลายธุรกิจขาดสภาพคล่อง ดังนั้น ภาครัฐบาลควรเร่งหามาตรการเข้าไปสนับสนุนในการดูแล และช่วยลดต้นทุน ซึ่งขณะนี้ความร่วมมือที่ทางกระทรวงพาณิชย์จะใช้งบประมาณจากกองทุนส่งเสริมการส่งออกจำนวน 300 ล้านบาท ที่จะนำกลุ่มเอสเอ็มอีกว่า 10 กลุ่มไปเปิดตลาดและดูลู่ทางเพื่อไปเปิดตลาดไปยังประเทศต่างๆ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เอสเอ็มอีไทยเปิดตลาดในต่างประเทศมากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น