อีกไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อโครงการ “นาคราชนคร” สร้างเสร็จสมบูรณ์ พื้นที่แห่งนี้จะกลายเป็นอีกศูนย์รวมทางเศรษฐกิจครบวงจร เชื่อมโยงการค้าชายแดนระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยส่วนหนึ่งของโครงการ ได้จัดสรรเป็นพื้นที่ร้านค้าปลอดภาษี (Duty free) กว่า 2,000 คูหา เปิดช่องทางแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยที่สนใจได้เข้ามาจับจอง เพื่อแสวงหาโอกาสธุรกิจ
“นาคราชนคร” คือ โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ริมแม่น้ำโขง บริเวณเชิงสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 บนพื้นที่กว่า 1,200 ไร่ ที่บ้านดอนไข่นก เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงข้ามกับพื้นที่ 25 ไร่ บนฝั่งไทย ที่บ้านดอนมหาวัณ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ดำเนินการโดยบริษัท เอเอซี กรุ๊ป ซิตี้ จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนของผู้ประกอบการไทยและเกาหลี ในสัดส่วน 80 ต่อ 20 ตามลำดับ
ดร.สิชา สิงห์สมบุญ ประธานบริษัท เผยแรงจูงใจที่ริเริ่มโครงการนี้ว่า พื้นฐานทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้ว และมีประสบการณ์ทำธุรกิจการเงินใน สปป.ลาว มายาวนาน ประกอบกับประชาคมอาเซียนจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ทำให้เห็นโอกาสการค้าของทั้งสองชาติยังเติบโตได้อีกมาก จึงต่อยอดการลงทุน โดยขอรับสัมปทานระยะเวลา 80 ปี (ตั้งแต่ พ.ศ.2550-2630) จากรัฐบาล สปป.ลาว เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งการค้าและการท่องเที่ยว ในลักษณะ “เขตเศรษฐกิจเฉพาะ” ถือเป็นกลุ่มทุนไทยรายแรกที่ได้รับคัดเลือกจากรัฐบาล สปป.ลาว
ตามแผนพัฒนาจะแบ่งเป็น 6 เฟส ระยะเวลาดำเนินการแล้วเสร็จใน 12 ปี เริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ.2552 มูลค่าโครงการรวมไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท ประกอบไปด้วยโรงแรม ศูนย์รวมร้านค้าปลอดภาษี (Duty free) ศูนย์กระจายสินค้า สถานีขนส่งทางรถและเรือ โกดัง ห้องเย็น ปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ และเอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ ฯลฯ
ภาครวมสถาปัตยกรรมในโครงการ จะเกี่ยวเนื่องกับพญานาคสีทองดูสวยงามอลังการ เนื่องจากพญานาคเป็นที่เคารพและศรัทธาของทั้งชาวไทยและลาวบริเวณริมแม่น้ำโขง ขณะที่สีทองเป็นสีแห่งมงคล ดังนั้น สิ่งปลูกสร้างและการตกแต่งภายในโครงการทั้งหมด ล้วนสื่อถึงพญานาคสีทองทั้งสิ้น
ด้าน ดร.เหมโชค สิงห์สมบุญ ทายาทธุรกิจ เผยถึงความคืบหน้าโครงการขณะนี้ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน แล้วเสร็จประมาณ 50% โดยต้นปีหน้า (2556) จะเริ่มเปิดบริการได้ก่อนในส่วนโรงแรม และศูนย์รวมร้านค้าปลอดภาษี ซึ่งปัจจุบันได้จัดแบ่งพื้นที่ เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่น่าสนใจมาเช่าค้าขาย โดยเป็นร้านขนาด 3x5 ตารางเมตร เบื้องต้นจะเปิดให้จองได้ประมาณ 470 คูหา และเต็มโครงการในอีก 2 ปีข้างหน้าจำนวนกว่า 2,000 คูหา มีทั้งกลางแจ้งและในร่ม โดยคิดอัตราค่าเซ้งร้าน จำนวน 5 แสนบาท อายุสัญญา 5 ปี ไม่มีการเรียกเก็บค่าเช่ารายเดือนเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ผู้เข้ามาลงทุนเปิดร้าน จะได้รับการสนับสนุนต่างๆ เช่น ความรู้เรื่องการค้าชายแดน ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ นอกจากนั้น จะสร้างเครือข่ายในหมู่ผู้ประกอบการด้วยกันเอง เพื่อเสริมศักยภาพทางธุรกิจ เช่น รวมกลุ่มกันเช่าเหมาลำเครื่องบินไปซื้อขายสินค้ากับคู่ค้าในต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดต้นทุน และซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกกว่า รวมถึง แบ่งปันความรู้ต่างๆ ในหมู่ผู้ประกอบการไทยด้วยกันเอง เป็นต้น
ย้อนกลับมาที่ ดร.สิชา เผยถึงโอกาสทางธุรกิจว่า ในช่วงกลางปีหน้า (2556) สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 จะแล้วเสร็จ ยิ่งมีส่วนสำคัญช่วยผลักดันการค้าบริเวณนี้ทวีความคึกคักมากยิ่งขึ้น เพราะที่ตั้งโครงการอยู่ห่างจากเชิงสะพานไม่ถึง1 กิโลเมตร และสามารถต่อไปยังถนนสาย R3a ที่เดินทางสู่ประเทศจีนได้อีกด้วย โครงการนาคราชนคร จึงเปรียบเป็นประตูการค้าทางบกระหว่างจีนกับอาเซียน ในทางกลับกัน ถือเป็นประตูสำหรับสินค้าอาเซียนไปสู่ตลาดจีนเช่นกัน ซึ่งคาดว่า เมื่อสะพานสร้างเสร็จ จะมีรถวิ่งข้ามสะพานไม่ต่ำกว่า 3-4 พันคันต่อวัน และจำนวนคนผ่านด่านการค้านี้ไม่ต่ำกว่าหลักหมื่นคนต่อวัน
“ประเทศไทยควรให้ความสำคัญต่อเอสเอ็มอีมากที่สุด ไม่เช่นนั้น คนไทยจะมีแต่คนเป็นพนักงานไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการ ดังนั้น ดิฉันจึงเชื่อมั่นว่า โครงการนาคราชนครสามารถจะเป็นเวทีสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยได้ ยิ่งในอีก 2 ปีข้างหน้า เราจะเป็นหนึ่งในประชาคมอาเซียน จำเป็นต้องเร่งแสวงหาความรู้ และโอกาสให้สอดคล้องกับการแข่งขันในระดับอาเซียน เพราะถ้าเอสเอ็มอีไทย รวมถึงภาคเอกชนและรัฐบาลไทยไม่เตรียมความพร้อม เราจะแข่งขันไม่ได้ ในที่สุดธุรกิจไทยจะถูกต่างชาติกลืนไปหมด” ดร.สิชา ระบุในตอนท้าย
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
โทร.0-2641-5214 หรือ www.aacgreencity.com