วิวัฒนาการของการถ่ายภาพเปลี่ยนไปตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่สำหรับคนที่ยังหลงใหลกับการถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์มก็ยังคงมีอยู่ให้เห็นกัน ในกลุ่มของนักถ่ายภาพมืออาชีพ เพราะมองว่าภาพถ่ายที่ออกมาเป็นแนวศิลปะ และอะไรก็ตามที่มันกำลังจะเลือนหายไป มันมักจะได้รับความสนใจพิเศษ สำหรับกลุ่มวัยรุ่น
ปัจจุบันวัยรุ่นหันให้ความสนใจกับกล้องโลโม่ กล้องสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นกล้องฟิล์มตัวเล็กๆ ที่แจกฟรีให้กับกลุ่มคอมมิวนิสต์ ด้วยตัวกล้องที่เล็กทำให้แอบถ่ายได้ง่าย และได้ภาพถ่ายอิริยาบถที่เป็นธรรมชาติ กล้องโลโม่ ได้ถูกเก็บเข้ากรุไปหลังรัสเซียแพ้สงคราม แต่ถูกนำกลับมาใหม่ หลังคนฝรั่งเศษ ไปเจอเข้าเลยซื้อมา ถ่ายรูปเล่นแบบว่าไม่คิดอะไรถ่ายอะไรแปลก เดินทางรอบโลก ใช้กล้องโลโม่ ถ่ายไปเรื่อย โดยบัญญัติไว้ว่า ถ่ายแบบไม่ต้องคิดและไม่ต้องเล็ง จนฟลุ๊ค ดังขึ้นมา และก็ได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่นมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนกล้องทอยเป็นกล้องที่คล้ายกับโลโม่ คือเป็นกล้องทำจากพลาสติกไม่มีกลไกอะไรมากนัก ได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่นเช่นกัน เพราะเวลาเป็นมือใหม่ ก็อยากจะลองถ่ายภาพด้วยกล้องที่ไม่มีกลไกอะไร และก็จะได้ลุ้นว่าภาพที่ถ่ายออกมาจะเป็นอย่างไร ซึ่งหลายคนมองว่าภาพที่ถ่ายจากกล้องทอยและโลโม่ เป็นภาพถ่ายที่เป็นงานศิลปะ เพราะส่วนใหญ่ถ่ายด้วยอริยาบทที่เป็นธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของกล้องดิจิตอล ทำให้กล้องทอยพลาสติก หรือ กล้องโลโม่ ก็ถูกโยนทิ้งลงถังขยะ เพราะไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้ แต่สำหรับนักถ่ายภาพมืออาชีพแล้ว กล้องทุกตัวคือสิ่งที่เขารัก และความรู้สึกที่ได้เห็นเจ้ากล้องถ่ายภาพที่เขารัก ต้องโดนทิ้งถังขยะอย่างไม่เห็นคุณค่า ก็ยากที่จะทำใจได้ จึงได้เป็นที่มาของ งานศิลปะบนกล้องทอย และโลโม่ ผลงานของ “นายภาวัต เห่งแจ้ง”
นายภาวัต เล่าว่า ด้วยความที่ตัวเองเป็นช่างภาพมาตั้งแต่ สมัยเรียนจนกระทั่งเรียนจบ ดังนั้น กล้องฟิล์มทุกชนิดได้ผ่านมือมาหมดแล้ว โดยเฉพาะเจ้ากล้องทอย และกล้องโลโม่ เพราะเป็นกล้องที่ราคาไม่แพง เพราะด้วยฐานะที่ไม่ดีนักในวัยเด็ก กล้องที่ได้สัมผัสมากที่สุด คือ กล้องทอย และกล้องโลโม่ ประกอบกับ ตัวเองเป็นคนถ่ายรูปไม่เก่ง ภาพที่ได้แต่ละครั้งจากกล้องทอยและโลโม่จะได้ภาพที่ไม่สวย แต่ในความไม่สวยหลายคนกลับมองว่าเป็นภาพถ่ายที่ดูเป็นแนวอาร์ต
จนกระทั่ง พอมาวันหนึ่ง เราเห็นกล้องเหล่านี้ในถังขยะ ความรู้สึกแรก คือ รู้สึกสงสารกล้อง ว่าทำไมเมื่อก่อนมันเคยให้ความสุขกลับทุกคน แต่พอมาวันนี้ ทุกคนกลับทำกับมันเหมือนไม่มีคุณค่า ถ้ามันมีชีวิตมันก็คงจะเสียใจเช่นกัน ดังนั้น จึงเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ลงมือทำงานศิลปะบนกล้องถ่ายรูป
โดยการนำกล้องถ่ายรูปซึ่งต้องเป็นกล้องฟิล์ม มาเพนท์ลวดลายตามจินตนาของตัวเอง ซึ่งกล้องที่ได้ 80% เป็นกล้องที่เก็บมาจากถังขยะ โดยรับซื้อมาจากรถซาเล้งเก็บขยะอีกที่หนึ่ง และนำมาซ่อมจนสามารถใช้งานได้จริง ส่วนงานเขียน เป็นภาพเขียนสีผสม คือ มีการใช้ทั้งสีน้ำ สีน้ำมัน สีสเปรย์ แล้วแต่ว่าต้องการจะทำงานแบบไหน ไม่ได้เจาะจง ดูความเหมาะสมของแต่ละชิ้นงานไป ส่วนลวดลายก็แล้วแต่ว่า ชั่วโมงนั้นอยากจะวาดภาพ หรือ ทำกล้องเป็นแบบไหน ปัญหาคือ ลูกค้าไม่สามารถจะมาสั่งทำแบบนั้นแบบนี้ได้ เพราะเขาต้องการจะทำแบบไหน ก็ทำแบบนั้น โดยภาพที่วาดมีทั้งรูปการ์ตูนสีหวาน หรือสีเข้มล้อเลียนแนวการเมือง หรือ เป็นกล้องสีลูกกวาดหวาน ไม่มีลวดลาย เป็นต้น
“ผมตั้งราคาขายไม่แพง อยู่ในหลักร้อยบาท ประมาณ 250 บาท ขึ้นไป หลายคนถามว่า ทำไมผมขายถูก ทั้งที่เป็นกล้องที่เริ่มหายาก และที่สำคัญยังต้องไปซ่อม และเพนท์ลวดลายอีก ผมก็บอกว่า อยากทำให้กับคนที่ชื่นชอบและรักกล้อง ได้เป็นเจ้าของ และรวมถึงวัยรุ่นที่เป็นมือใหม่ และรักการถ่ายภาพ อยากได้กล้องราคาถูก เพราะวัยรุ่นส่วนใหญ่ก็คงจะไม่มีเงินมากพอในการไปซื้อกล้องแพงๆ ซึ่งที่ผมสามารถตั้งราคาไม่แพงได้ เพราะต้นทุนที่ผมได้กล้องมาก็ไม่แพงอะไร ผมจึงขายในราคาถูกได้ ”
ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้า มีทั้งวัยรุ่นที่ชื่นชอบงานศิลปะ และชอบการถ่ายภาพด้วยกล้องทอยพลาสติก และกลุ่มผู้ใหญ่ ที่เคยเป็นช่างภาพ ก็จะซื้อกล้องฟิล์มไว้เป็นที่ระลึก หรือไว้สะสม รวมถึงคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพด้วยกล้องทอย บางคนก็ซื้อเก็บไว้เพราะชอบลวดลายบนกล้อง ไม่ได้นำไปใช้งานก็มี แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มวัยรุ่น เพราะปัจจุบันเทรนด์ของกล้องโลโม่กำลังมาแรง และกล้องทอยมีลักษณะคล้ายกล้องโลโม่ และที่วัยรุ่นชื่นชอบกล้องโลโม่ เพราะรู้สึกว่าได้ลุ้นกับภาพถ่ายที่ออกมาว่าจะเป็นอย่างไร และหลายคนมองว่าภาพถ่ายทีได้จากกล้องฟิล์ม งานจะออกมาในแนวอาร์ต
ในส่วนของกล้องทอย ปัจจุบันก็ยังคงหาได้อยู่ แม้ว่าจะมีการผลิตออกมาน้อยแล้วก็ตาม แต่ของมือสอง หรือของที่ทิ้งยังมีอยู่อีกมาก ซึ่งกลับหาง่ายกว่าในอดีตด้วยซ้ำ เพราะคนส่วนใหญ่หันไปใช้กล้องดิจิตอล กล้องฟิล์มก็จะเก็บทิ้งลงถังขยะกันหมด
สำหรับช่องทางการขาย เนื่องจากเป็นงานฝีมือการทำงานต้องใช้เวลา จึงผลิตงานออกมาได้ไม่มาก และเนื่องจากเป็นกึ่งของเก่า ดังนั้น จึงเลือกการขายที่ตลาดนัดสวนรถไฟจตุจักร แหล่งขายของเก่าโบราณ ของสะสม เดิมเปิดขายเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ แต่ถ้าวันธรรมดา ตอนนี้ นำสินค้าไปวางใน "ร้านเป็นหนึ่ง" ซึ่งเป็นร้านขายของเก่าเปิดที่ตลาดนัดสวนรถไฟจตุจักรเช่นกัน สามารถไปดูสินค้าที่นั่นได้ หรือ ถ้าต้องการซ่อมกล้องก็สามารถติดต่อนำกล้องมาซ่อมได้ที่นั่นเช่นกัน
โทร. 08-4004-4556