ย้อนกลับไปกว่าหนึ่งศตวรรษที่แล้ว ใน ต.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ร้านขนมเปี๊ยะเล็กๆ จากฝีมือ “นายไล้ แซ่เล้า” ชาวจีนแต้จิ๋ว ผู้อพยพมาหากินในเมืองไทย โดยยึดอาชีพขายขนมเปี๊ยะสูตรจีนแต้จิ๋ว ถูกกล่าวกันว่า รสชาติอร่อยล้ำ จนสร้างชื่อเสียงให้ท้องถิ่นแห่งนี้ ในฐานะอีกแหล่งทำขนมเปี๊ยะชั้นเยี่ยมของประเทศ
ปัจจุบันสูตรดังกล่าว ยังได้รับการสืบทอดมาจนถึงเจเนอเรชั่นสาม ที่ไม่เพียงแต่รักษาความอร่อยแบบดั้งเดิมไว้ แต่ได้เสริมด้านมาตรฐานการผลิต และการตลาด เพื่อเข้าถึงคนยุคนี้ให้มีโอกาสลิ้มลองรสชาติขนมเปี๊ยะโบราณแท้ๆ
กานต์ ริ้วเลิศพันธ์ ทายาทธุรกิจรุ่นสาม เล่าว่า การทำขนมเปี๊ยะเป็นอาชีพหลักของครอบครัวตั้งแต่รุ่นอาก๋ง (นายไล้ แซ่เล้า) ซึ่งถือเป็นเจ้าแรกๆ ใน ต.อินทร์บุรี สืบเนื่องมายังรุ่นพ่อ รวมถึงเครือญาติส่วนใหญ่ล้วนแต่ยึดอาชีพนี้ ตลอดชีวิตจึงคลุกคลีอยู่กับการทำขนมเปี๊ยะ ทำให้ซึมซับทุกด้านเกี่ยวกับอาชีพนี้เป็นอย่างดี กระทั่งได้ต่อยอดธุรกิจครอบครัว โดยแยกตัวมาสร้างแบรนด์ใหม่ ชื่อ “เล่าฮ่อเจี๊ยะ” โดยคงเอกลักษณ์รสชาติแบบต้นตำรับไว้
แนวทางต่อยอดนั้น ทายาทธุรกิจ เผยว่า เพิ่มความสำคัญด้านปรับมาตรฐานการผลิต โดยเฉพาะการบรรจุขนมในซองพลาสติกสุญญากาศ พร้อมกับใส่ที่กันชื้น ช่วยขยายอายุการเก็บรักษาได้ยาวนานขึ้นกว่า 1.5 เดือน มีประโยชน์ให้สต็อกสินค้าง่ายขึ้น ช่วยให้ลูกค้าสามารถสั่งขนมเปี๊ยะได้ตลอดทั้งปี นอกจากนั้น ดีไซน์กล่องให้สวยงามสไตล์จีนโบราณ ปั๊มลายด้วยทองเค เพื่อเสริมคุณค่า น่าซื้อกลับไปเป็นของฝาก
สำหรับรสชาติของขนมเปี๊ยะ คงสูตรต้นตำรับของขนมเปี๊ยะอินทร์บุรีแท้ๆ มีจุดเด่นที่ไส้ค่อนข้างหยาบ เวลาเคี้ยวจะรู้สึกถึงความสดกรอบของเนื้อไส้ โดยจะลดหวานลงเล็กน้อย เพื่อให้ถูกปากคนรุ่นใหม่ มีให้เลือก 5 ไส้ ได้แก่ ไส้ถั่วฟักไข่ ไส้ฟักล้วน ไส้ถั่วล้วน ไส้งาดำ และไส้ทุเรียน มี 3 ขนาด คือ เล็ก (ปลีก 35 บาท/ส่ง 29 บาท) กลาง (ปลีก 60 บาท/ส่ง 50 บาท) และใหญ่ (ปลีก 120 บาท/ส่ง 100 บาท)
นอกจากนั้น ยังออกแบรนด์เสริม ชื่อ “ธัญทิพย์” ทำเป็นเปี๊ยะพระจันทร์ ซึ่งจะเป็นขนมเปี๊ยะชิ้นเล็ก กินได้สะดวก บรรจุภัณฑ์ทันสมัยมากกว่า สำหรับมุ่งเจาะตลาดคนรุ่นใหม่
กานต์ เล่าต่อว่า วางตำแหน่งสินค้าเป็นขนมของฝากของขวัญ และขนมที่ใช้ในเทศกาลต่างๆ ช่องทางตลาดหลัก ฝากขายตามร้านของที่ระลึก โดยมีตัวแทนขายกว่า 50 รายทั่วประเทศ ในกรุงเทพฯ ส่งเข้าห้างเดอะ มอลล์ สินค้าจะขายดีที่สุดในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น ไหว้พระจันทร์ ปีใหม่ และสงกรานต์ เป็นต้น
“ผมให้ความสำคัญด้านคุณภาพ ที่จะต้องดีตั้งแต่วัตถุดิบ แป้งจะเลือกเกรดเอ ไข่เค็มสำหรับทำไส้ ก็จะหมักไข่เป็ดเอง เพื่อให้ได้รสชาติเค็มกำลังดี ไม่มีการใส่กันเสียใดๆ ทั้งสิ้น การผลิตได้มาตรฐาน อย. และยังได้รับคัดเลือกเป็นสินค้าโอทอปประจำจังหวัดด้วย” เจ้าของธุรกิจ เผย
ในส่วนการผลิตนั้น ปัจจุบันได้นำเครื่องจักรมาแบ่งเบาในหลายขั้นตอน เช่น กวนไส้ หันส่วนผสม เป็นต้น ทว่า ขั้นตอนส่วนใหญ่ยังใช้แรงงานคน ทั้งการปั้น ห่อไส้ ฯลฯ ขณะนี้มีพนักงาน 10 คน สามารถทำได้หลักพันชิ้นต่อวัน โดยเฉลี่ยยอดขายประมาณ 1.5-2 แสนบาทต่อเดือน
กานต์ ระบุด้วยว่า ปัญหาสำคัญของอาชีพ มาจากต้นทุนวัตถุดิบทุกตัวปรับสูงขึ้น ที่ผ่านมาพยายามปรับตัวลดต้นทุน เช่น จัดระบบการวิ่งรถส่งสินค้าแต่ละเที่ยวให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อประหยัดค่าพลังงาน รวมถึง ปรับการผลิตลดความสูญเสีย พยายามรักษาระดับกำไรให้อยู่ระดับประมาณ 20-30% ต่อชิ้น ทว่า ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ทุเลาขึ้นมากนัก ยิ่งซ้ำเติมกับวิกฤตน้ำท่วม จ.สิงห์บุรี และใกล้เคียงเมื่อปีที่แล้ว ทำให้อุปกรณ์และวัตถุดิบเสียหายอย่างหนักจนต้องหยุดการผลิตไปนานนับเดือน กระทบขาดทุนหมุนเวียนอย่างสาหัส
อย่างไรก็ดี จากความช่วยเหลือของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) สนับสนุนสินเชื่อวงเงิน 5 แสนบาท ทำให้ธุรกิจกลับมาเดินได้อีกครั้ง นอกจากนั้น เอสเอ็มอีแบงก์ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาช่วยด้านการตลาด เช่น พาไปออกบูท และออกสื่อโฆษณา ทำให้ธุรกิจมีช่องทางขายกว้างยิ่งขึ้น
ทายาทร้านขนมเปี๊ยะเจ้าดัง กล่าวต่อว่า กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นขาประจำที่ชื่นชอบความอร่อยของขนมเปี๊ยะสูตรโบราณ และประทับใจคุณภาพที่ดีมาต่อเนื่อง ส่วนแผนธุรกิจในอนาคต กำลังสะสมเงินทุนเพื่อเปิดร้านขายปลีกเป็นตัวเอง ไว้บริการลูกค้าที่ต้องการซื้อขนมเปี๊ยะโบราณแท้ๆ กลับไปเป็นของที่ระลึกเมื่อมาเยือนถิ่นอินทร์บุรี และใกล้เคียง
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
โทร.036-581-110 , 08-1907-8320 และ 08-9676-7711