ด้วยกระแสแฟชั่นก้าวเดินเสมอ ปัจจุบัน แว่นตาจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่อุปกรณ์ช่วยการมองเห็นชัดเจนเท่านั้น หากยังทำหน้าที่เป็นเครื่องประดับชิ้นสำคัญ เพื่อเสริมบุคลิก เพิ่มความมั่นใจ และบ่งบอกสถานภาพทางสังคมของผู้สวมใส่อีกด้วย จุดนี้เอง ร้านแว่นตา “KT OPTIC” ได้คว้ามาเป็นจุดขายสำคัญ ช่วยผลักดันกิจการทะยานกว่า 200 สาขาทั่วประเทศ โดยวางตำแหน่งเป็นร้านแว่นตา ตอบความต้องการในชีวิตประจำวันของลูกค้าไฮเอนด์ผู้หลงใหลแฟชั่นรอบดวงตา
บิ๊กบอสผู้อยู่เบื้องหลัง คือ ชัชวาลย์ วณิชไพสิฐ ต่อยอดธุรกิจของครอบครัวใน จ.นครสวรรค์ ที่เดิมเน้นเป็นตัวแทนขายส่งแว่นตานำเข้าจากต่างประเทศ สู่การเปิดร้านขายปลีกแว่นตาของตัวเองในเมืองหลวง ตั้งแต่ พ.ศ.2536
“ในอดีตร้านแว่นตามีไม่มากนัก คนที่จะเข้าร้านแว่นตาต้องมีเจตนาไปหาซื้อเพื่อใช้งานจริงๆ อีกทั้ง อายุการใช้แว่นของแต่ละคน นาน 4-5 ปีถึงจะเปลี่ยนเสียที ดังนั้น การขายส่งมีข้อจำกัดมาก ทำให้ผมกลับมามองต่างมุมว่า แว่นตาควรจะเป็นอุปกรณ์แฟชั่นด้วย ประกอบกับเรามีพื้นฐานความรู้ในวงการพร้อมอยู่แล้ว เลยตัดสินใจลงทุนเปิดร้านของตัวเองที่ฟิวเจอร์ พาร์ค และซีคอน สแควร์” ชัชวาลย์ เล่าจุดเริ่มต้น
อีกปัจจัยที่เอื้อให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด เกิดจากแนวคิดขยายทำเลเปิดร้านในห้างค้าปลีกยักษ์ข้ามชาติที่เวลานั้นเริ่มขยายสาขาในเมืองไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้บริโภคทั่วไปมีโอกาสพบเจอร้านแว่นตาง่ายขึ้น และบ่อยขึ้น จนเกิดความคุ้นชิน มีผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปด้วย จากเคยเข้าร้านแว่นตาเฉพาะเมื่อจำเป็น มาสู่ร้านขายสินค้าแฟชั่นที่สามารถเข้ามาเลือกซื้อได้สะดวกสบายตลอดเวลา
ชัชวาลย์ เล่าให้ฟังว่า การปรับตำแหน่งสินค้า สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับการสวมแว่น เพื่อเสริมบุคลิกภาพ มีส่วนสำคัญช่วยขับเคลื่อนธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ระยะเวลาแค่ 5-6 ปีหลังเปิดสาขาแรก สามารถขยายเพิ่มเป็น 70-80 สาขา และมีรายได้สูงกว่าตอนขายส่งเกิน 10 เท่าตัว
นอกจากนั้น ด้วยมุมมองของผู้ประกอบการรายนี้ ที่อยากสร้างความแตกต่างจากร้านขายแว่นเจ้าอื่นๆ นำมาสู่การเลือกวางตำแหน่งร้าน มุ่งเจาะจงขายแว่นตาสำหรับลูกค้าตลาดบนอย่างจริงจัง สะท้อนผ่านมาทั้งการสร้างแบรนด์ การคัดสินค้าเข้าร้าน งานบริการ และการแต่งร้าน
“สินค้าของร้าน จะนำเข้า 100% ส่วนใหญ่มาจากยุโรป โดยผมจะตระเวนหาสินค้าจากทั่วโลก เช่น จากงานแฟร์แว่นตาสำคัญๆ ของโลกทุกปี สั่งสินค้ากับผู้ผลิตโดยตรง เป็นต้น ซึ่งหลักคัดเลือกแว่นตา ผมใช้ประสบการณ์ที่อยู่วงการนี้มายาวนาน โดพิจารณาจากเทรนด์แฟชั่น รูปทรงแว่นเหมาะกับรูปหน้าคนเอเชีย มีฟังก์ชั่นการใช้งานแก่ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม และแบรนด์ดังซึ่งลูกค้าต้องการ” เจ้าของร้าน อธิบายและเสริมต่อว่า
ในร้านมีแว่นตานำเข้ามากกว่า 100 แบรนด์ ทุกชิ้นการันตีเป็นของแท้ แบ่งสินค้าเป็นกลุ่มบูติก ฟังก์ชั่นพิเศษ ไลฟ์สไตล์ และกีฬา ราคากรอบแว่น โดยเฉลี่ยอยู่ที่ชิ้นละ 10,000 บาทบวกลบ 3,000 บาท โดยจะมีสินค้าใหม่หมุนเวียนทุกๆ 4 เดือน
นอกจากนั้น เพื่อเสริมภาพลักษณ์ร้านให้อยู่ในใจลูกค้าในฐานะร้านแว่นแฟชั่นระดับบนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ได้ทำการรีแบรนด์จากชื่อเดิมว่า “กรุงไทยการแว่น” มาเป็นชื่อ “KT OPTIC” นอกจากนั้น ปรับปรุงชุดฟอร์มพนักงาน และการแต่งร้านให้มีบรรยากาศสวยงาม ทันสมัย น่าเดินเลือกซื้อสินค้า ที่สำคัญ พัฒนาทักษะพนักงานประจำร้านให้มีความรู้เชี่ยวชาญด้านแว่นตาอย่างลึกซึ้ง สามารถอธิบาย และให้คำปรึกษาเรื่องแว่นได้สมบูรณ์ ควบคู่กับมีใจรักงานบริการ
“ความตั้งใจของผม จะไม่ไปแข่งขันด้านราคา หรือแข่งโปรโมชั่นแรงๆ อย่างซื้อ 1 แถม 1 หรือแจกร่ม แจกเสื้อ แต่มุ่งทำร้านแว่นที่สามารถตอบไลฟ์สไตล์ของคนที่รักแว่นตาได้จริงๆ ให้ลูกค้าเข้ามาเดิน เหมือนกับเข้าร้านขายเสื้อผ้า โดยจะมีสินค้าแฟชั่นที่ตลาดต้องการ ตกแต่งร้านอย่างสวยงาม มีพนักงานที่เชี่ยวชาญจริงๆ คอยบริการอย่างเต็มใจ” ชัชวาลย์ ระบุ
ปัจจุบัน ร้าน “KT OPTIC” มีสาขาทั่วประเทศกว่า 200 แห่ง กระจายอยู่ตามห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ประมาณ 45-50% ในห้างสรรพสินค้า ประมาณ 40% และร้านแบบ STAND ALOND 5-10% ครองส่วนแบ่งการตลาดทั้งแง่รายได้ และจำนวนสาขามาเป็นอันดับ 2 หรือราว 17% จากธุรกิจร้านแว่นตาทั้งหมด
เขาเสริมด้วยว่า รายได้ของร้านจะมาจากทั้งการขายกรอบแว่น เลนส์ และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ในระดับใกล้เคียงกัน โดยเฉลี่ยต่อวันจะมีลูกค้าเข้าใช้บริการ สาขาละ 10 คน จำนวนอาจจะดูน้อย แต่เนื่องจากสินค้ามีมูลค่าต่อหน่วยสูง และลูกค้าส่วนใหญ่เป็นขาประจำ ที่ใช้จ่ายต่อครั้งสูง และมีอัตรากลับมาหมุนเวียนซื้อซ้ำบ่อยครั้ง ทำให้ผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่อง เมื่อประกอบกับแนวโน้มแว่นตาแฟชั่นยังคงได้รับความนิยม จึงตั้งเป้าจะขยายสาขาเพิ่มปีละ 10 จุด โดยเน้นร้าน STAND ALOND ตกแต่งอย่างสวยงาม หรูหรา เพื่อตอกย้ำจุดยืนเป็นร้านแว่นตาตลาดบนอย่างชัดเจน
“ส่วนตัวผมเชื่อว่า สิ่งสำคัญที่สุดของทุกธุรกิจ คือ ตัวผู้บริหารสูงสุดต้องเหมาะกับธุรกิจที่ตัวเองทำ พร้อมเป็นหลักแก้ปัญหาได้เสมอ ไม่ว่าจะเจออุปสรรคจากคู่แข่ง หรือปัจจัยภายนอก ซึ่งบุคลิกผู้บริหารสูงสุดมันจะสะท้อนออกมายังตัวสินค้าของเขาเอง อย่างตัวผมเป็นคนรักแว่นตา และรักแฟชั่น มันก็ถ่ายทอดออกมายังร้านที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งตอนนี้ไม่มีคู่แข่งโดยตรงเลย” เจ้าของธุรกิจ กล่าว
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@