ไอศกรีมกะทิที่ถูกจับนำมาใส่ในภาชนะแบบย้อนยุคอย่างกะลามะพร้าว หลายคนคงคุ้ยเคยกันเป็นอย่างดี แต่หากย้อนไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว กลับกลายเป็นของใหม่ที่น่าลิ้มลอง ซึ่งต้องยกไอเดียนี้ให้แก่ผู้ต้นคิดรายแรกๆ อย่างร้าน “ไอติมโบราณแปะเฮง” ที่นำเอาความทรงจำสมัยวัยเยาว์มาปรับใช้ได้พอเหมาะพอเจาะกับผู้คนในปัจจุบันที่ถวิลหาอดีตกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ ข้าวของเครื่องใช้ และอาหาร
ครอบครัวสุขเกษม ถือได้ว่าเป็นครอบครัวหนึ่งที่ยึดอาชีพผลิตไอศกรีมกะทิมา 3 ชั่วอายุคน บรรดาพ่อค้าแม่ค้าต่างรับไปจำหน่ายต่อ หรือผลิตสำหรับงานเลี้ยงสำคัญของลูกค้า จนกระทั่งมาถึงรุ่นของ “วรรณนารี สุขเกษม” ที่รับช่วงสูตรไอศกรีมกะทิสดมาจากคุณแม่ ซึ่งคุณแม่ก็รับการถ่ายทอดวิชาชีพมาจากคุณลุงอีกทอดหนึ่ง ในฐานะที่ตนเองเข้ามารับช่วงธุรกิจในยุคแห่งการแข่งขัน พฤติกรรมผู้บริโภคก็แตกต่างจากเมื่อ 30 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิง ทำให้ต้องงัดกลยุทธ์เพื่อสร้างความแตกต่างทุกด้านที่มีออกมาให้หมด ไม่ว่าจะเป็น การศึกษาความต้องการของผู้บริโภค การทำการตลาดด้วยการสร้างแบรนด์ สินค้าเพื่อให้ลูกค้าได้ลิ้มลองไอศกรีมกะทิสดที่เน้นคุณภาพอย่างแท้จริง ทั้งนี้กลยุทธ์ดังกล่าวส่วนหนึ่งก็มาจากผู้เป็นสามี คือ “นายสมบัติ แซ่เอี๊ยบ” ที่มองการณ์ไกลว่าไอศกรีมกะทิสดน่าจะมีการพัฒนาหรือต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าได้มากกว่าที่เป็นอยู่
“การที่เราคลุกคลีอยู่กับไอศกรีมกะทิมาตั้งแต่เด็กเห็นทุกกรรมวิธีการผลิต รวมถึงยังเคยลิ้มลองไอศกรีมกะทิสดที่ใส่ในกะลามะพร้าว ซึ่งได้อารมณ์ไปอีกแบบ ต่อมาเมื่อต้องมารับช่วงต่อในธุรกิจไอศกรีมกะทิ ก็คิดสร้างความแตกต่าง ประกอบกับสามีก็เห็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจนี้ เพราะจากรสชาติของไอศกรีมกะทิสดเน้นใช้กะทิมะพร้าวล้วนๆ ไม่มีการผสมแป้ง หรือนม เพื่อให้เสียรสชาติ ซึ่งสามีคิดว่าหากมีการทำตลาดและสร้างแบรนด์จะทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักและติดตลาดในเวลาไม่นาน โดยเริ่มจาการสร้างความแตกต่างด้วยการนำกะลามะพร้าวมาใช้แทนถ้วยพลาสติกมาใส่ไอศกรีมหวังสร้างความแปลกใหม่ให้ลูกค้า และสร้างแบรนด์ไปพร้อมๆ กัน คือ “ไอติมโบราณแปะเฮง” เพื่อให้เกิดการจดจำ”
เมื่อมีการนำกะลามะพร้าวมาเป็นภาชนะ ผลตอบรับดีเกินคาดลูกค้าสนใจและให้การอุดหนุน พร้อมทั้งติดใจในรสชาติ ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้ ถือเป็นจุดขายสำคัญที่ทำให้ไอติมโบราณแปะเฮงเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว มีลูกค้าหลายรายสั่งไปจัดงานเลี้ยง หรือวันสำคัญต่างๆ ทำให้ในเวลาต่อมาไม่นานเกิดคู่แข่งที่นำกะลามะพร้าวใช้เป็นภาชนะบ้าง แต่ทั้งคู่ก็ยังมั่นใจในรสชาติของไอศกรีมตนเองที่คิดว่าเหนือคู่แข่ง เพราะการนำกะลามะพร้าวมาใส่ไอศกรีมเป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ แต่สุดท้ายรสชาติจะเป็นสิ่งตัดสินความอยู่รอดในตลาด
“ในช่วงแรกที่เรานำกะลามะพร้าวมาใช้ก็เริ่มมีคู่แข่ง เราก็หนีด้วยการนำผลไม้ชนิดอื่นมาใช้แทนภาชนะ เช่น ฟักทองนึ่ง (ครึ่งลูก) แคนตาลูป มะม่วง ซึ่งหวังเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า ซึ่งราคาจะสูงกว่าไอศกรีมที่ใส่ในกะลามะพร้าว แต่ก็ถือว่าได้รับการตอบรับดีจากลูกค้า แต่ปัจจุบันลูกค้าเชื่อมั่นในรสชาติ ดังนั้นในเรื่องของภาชนะจะกลายเป็นสิ่งที่รองลงมา ขึ้นอยู่กับงบประมาณของลูกค้า เพราะหากใช้กะลามะพร้าว หรือผลไม้ เพื่อจัดเลี้ยงราคาจะสูงกว่าการใช้ถ้วยพสากติก ซึ่งตอนนี้เราขายปลีกอยู่ที่ถ้วยละ 25 บาท ที่ศูนย์อาหารไบเทค บางนา, อารีนา เมืองทองธานี (เฉพาะมีงานในฮอลล์) และศูนย์อาคารชาเรนเจอร์ เมืองทองธานี”
แม้ว่าปัจจุบันราคาของมะพร้าวจะเพิ่มขึ้นสูงขึ้นหลายเท่าตัว แต่ทางร้านก็ไม่ลดคุณภาพวัตถุดิบ ยังคงใช้มะพร้าวกะทิ 100% โดดเด่นด้วยความหลากหลายของรสชาติ ได้แก่ รวมมิตร ข้าวโพด ชาเขียว ลอดช่อง เผือก ขนุน และรสผลไม้ตามฤดูกาล อย่าง ทุเรียน น้อยหน่า และสตรอเบอรี่ ส่วนครื่องก็มีให้เลือกอย่างจุใจ ไม่ว่าจะเป็น ลูกชิด ข้าวโพด ถั่วลิสง ถั่วแดง ถั่วเหลือง ฟักทองเชื่อม วุ้น และข้าวเหนียว ซึ่งลูกค้าที่ต้องการสั่งเพื่อนำไปจัดเลี้ยงทางร้านมี 3 แพคเกจให้เลือก คือ 1.แบบถังสำหรับ 100 ถ้วย (ลูกค้านำไปตักเอง) 2.แบบกะลาสำหรับจัดเลี้ยง งานแต่งงาน หรือส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร และ 3.แบบกล่องสำหรับ 50-60 คน
ไอติมโบราณแปะเฮง ถือได้ว่าเน้นการผลิตมาตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้มีความชำนาญในการผลิตไอศกรีมกะทิที่ได้มาตรฐานทั้งเครื่องจักร และการรักษาความสะอาด แม้ปัจจุบันจะเริ่มรุกตลาดมากขึ้น สร้างแบรนด์ให้เกิดการจดจำ แต่ทางร้านก็ยังทำงานด้านการผลิตเพียงอย่างเดียว จากความชำนาญที่สั่งสมประสบการณ์มายาวนานโดยต้องการหาผู้ร่วมขยายธุรกิจในด้านการขยายสาขาตามห้างสรรพสินค้า เพื่อทางร้านจะได้ผลิตไอศกรีมส่งแต่ละสาขาเพียงอย่างเดียว
***สนใจติดต่อ 0-2922-9219, 08-1307-3938 หรือที่ www.hengicecream.com***