อธิบดี กรมส่งเสริมการส่งออก เผย โครงการ DEmark ไทย สำเร็จเกินคาด หลังเวทีประกวด G-Mark ญี่ปุ่นให้การยอมรับคัดเลือกชิ้นงาน DEmark เข้ารับรางวัลมากถึง 127 ชิ้นงาน จากผลงานที่ส่ง 171 ชิ้นงาน ส่วน DEmark 2011 ทะลุเป้ามีผู้สนใจส่งผลงานเข้าร่วมกว่า 300 ชิ้นงาน เป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ถึง 30%
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึง โครงการรางวัลสินค้าไทยที่มีการออกแบบดีประจำปี 2554 หรือ Design Excellent Award 2011 ( DEmark 2011) ของสำนักส่งเสริมมูลค่าเพิ่มเพื่อการส่งออก ว่า สำหรับโครงการดังกล่าวนี้ ได้ดำเนินการมาปีนี้ เป็นปีที่ 4 มีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นทุกปี ๆละไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งในปีนี้ มีผู้สนใจเข้าร่วมจำนวน 300 ชิ้นงาน เพิ่มขึ้นจากปีทีผ่านมา ซึ่งมีผู้สนใจส่งผลงานเข้าร่วมประมาณ 200 กว่าชิ้นงาน แบ่งเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ประมาณ 30% โดยในแต่ละปีจะมีการคัดเลือกผู้เข้ารับตราสัญลักษณ์มากน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ส่งผลงาน ซึ่งในปีนี้ จะมีการคัดเลือกผู้เข้ารับตราสัญลักษณ์DEmark จำนวน 100 ชิ้นงาน
ทั้งนี้ ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกได้รับตราสัญลักษณ์ จะได้มีโอกาสเข้าร่วมประกวดการแข่งขันรางวัล Good Design Award (G-Mark) ที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการที่ได้รับตราสัญลักษณ์ DEmark และได้เข้าร่วมประกวด รับรางวัล G-Mark ที่ประเทศญี่ปุ่น และได้รางวัล G-Mark สูงถึง 127 ชิ้นงาน นับว่าเป็นความสำเร็จอย่างมาก เพราะเท่ากับตลาดญี่ปุ่น ให้การยอมรับในผลงานของออกแบบของไทย และเป็นโอกาสที่ดีในการที่เราจะทำการประชาสัมพันธ์ ตรา DEmark ในต่างประเทศด้วย
สำหรับผลงานที่ส่งเข้าประกวดรางวัล DEmark จะแบ่งกลุ่มสินค้าออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์ ไลฟ์สไตล์ แฟชั่น อุตสาหกรรม และบรรจุภัณฑ์ โดยกลุ่มสินค้าที่ให้ความสนใจ และส่งผลงานเข้าร่วมรับรางวัล DEmark มากที่สุดเป็นกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ ไลฟ์สไตล์และแฟชั่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ผลิตสินค้าในกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพด้านงานดีไซน์ และเป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศอยู่แล้ว
ด้านม.ล.คฑาทอง ทองใหญ่ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมมูลค่าเพิ่มเพื่อการส่งออก กล่าวถึงวัตถุประสงค์ การจัดประกวด เพื่อรับรางวัล DEmark เพื่อยกระดับสินค้าในกลุ่มของงานดีไซน์ให้เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่สำคัญ ต้องการให้ผู้บริโภคคนไทยได้เห็นถึงศักยภาพและซื้อสินค้าไทย แทนการนำเข้าจากต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นการให้ผู้ผลิตที่เป็น OEM (รับจ้างผลิต) ยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นODM
