สสว. คัด 7 ธุรกิจเอสเอ็มอีเป็นสุดยอด SMEs แห่งชาติครั้งที่ 2 ด้วยมาตรฐานการบริหารจัดการเยี่ยม ผลประกอบการเด่น ธรรมาภิบาลดี หวังเป็นแรงกระตุ้นให้เอสเอ็มอีทั่วประเทศกว่า 2.8 ล้านราย มุ่งสร้างมาตรฐานการจัดการ มีธรรมภิบาลที่ดี เพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังงานมอบรางวัลผู้ชนะการประกวดสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติครั้งที่ 2 สำหรับรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ให้ความสำคัญต่อเอสเอ็มอีเป็นอย่างมาก เพราะจากสัดส่วนของการสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมได้ถึง 3.44 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 37.8 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งประเทศ ดังนั้น รัฐบาลจึงให้การสนับสนุนทุกกระบวนการที่จะนำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งให้แก่เอสเอ็มอี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกได้ และการเป็นสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติ ก็จะเป็นเครื่องยืนยันสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ว่าเป็นผู้ที่สามารถพัฒนาก้าวไปอีกระดับหนึ่ง รวมถึงเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ๆ ถือเป็นแบบอย่างด้วย
ด้านนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวในฐานะประธานการจัดงานว่า ทางกระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายสนับสนุนให้เอสเอ็มอีสามารถพัฒนาและเติบโตได้อย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรอบปีที่ผ่านมา รัฐบาลมีมาตรการเพื่อเสริมสร้างสภาพคล่องของเอสเอ็มอี เช่น การปล่อยสินเชื่อ การค้ำประกันสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีที่ผ่านการพิจารณาจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 6 แห่งกว่า 4 ล้านราย ในวงเงินรวมกว่า 1,000 ล้านบาท ไปจนถึงการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่เอสเอ็มอี โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมไปแล้วกว่า 13,000 ล้านบาท และในส่วนของ สสว. ก็ได้จัดการประกวดคัดเลือกสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติขึ้นเพื่อยกระดับ มาตรฐานการบริหารจัดการให้เป็นที่ยอมรับ
สำหรับนายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า นอกจากตนในฐานะที่เป็นประธานอนุกรรมการตัดสินรางวัลการประกวดสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติครั้งที่ 2 นี้ ยังมีผู้แทนจากหน่วยงานร่วมอีกหลายแห่งมาร่วมพิจารณาตัดสิน เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลเกิดความมั่นใจว่ารางวัล “สุดยอด SMEs แห่งชาติ” เป็นรางวัลที่มีมาตรฐาน และสามารถใช้รับรองความมีคุณภาพของสินค้าและกิจการ โดยนำหลักเกณฑ์ของรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award: TQA) ซึ่งเป็นรางวัลที่มีพื้นฐานด้านเทคนิค วิธีการ และหลักเกณฑ์ในการพิจารณาตามมาตรฐานเดียวกันกับประเทศสหรัฐอเมริกา มาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาตัดสินธุรกิจที่เข้าร่วมประกวด
ทางด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเอสเอ็มอี (สสว.) กล่าวว่า สสว.ได้จัดการประกวดรางวัลสุดยอด SMEs แห่งชาติขึ้น เพื่อค้นหาเอสเอ็มอีต้นแบบที่ได้มาตรฐานและประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการของ 11 อุตสาหกรรมเด่นที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ 1.กลุ่มผู้ผลิตอาหารและสมุนไพร 2. กลุ่มผู้ผลิตเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอ 3. กลุ่มผู้ผลิตอัญมณีและเครื่องประดับ 4. กลุ่มผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ 5. กลุ่มผู้ผลิตเครื่องหนังและรองเท้า 6. กลุ่มผู้พัฒนาซอฟแวร์และ Application 7. กลุ่มผู้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ 8. กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ 9. กลุ่มผู้บริการธุรกิจสปา 10. กลุ่มผู้บริการธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท 11. กลุ่มธุรกิจของขวัญ ของชำร่วย และของตกแต่งบ้าน
“สำหรับผลการตัดสินปรากฎว่ามีผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติครั้งที่ 2 ประจำปี พ.ศ. 2552 ในครั้งนี้ จำนวน 7 รางวัล และรางวัลชมเชยอีก 29 รางวัล โดยผู้ที่ได้รับรางวัลสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติ ทั้ง 7 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย บริษัท ซัน สวีท จำกัด กลุ่มธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร บริษัท คัฟเวอร์แนนท์ จำกัด เป็นกลุ่มธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม บริษัท ภูเก็ต เพิร์ล อินดัสทรี จำกัด เป็นกลุ่มธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับ บริษัท อี-บิซิเนส พลัส จำกัด เป็นกลุ่มธุรกิจ Software และ Application บริษัท ไทยเซ็นทรัลเมคคานิคส์ จำกัด เป็นกลุ่มธุรกิจเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ บริษัท โอ.อี.ไอ. พาร์ท จำกัด เป็นกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ และบริษัท ฟาสเทคโน จำกัด เป็นกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์” ผอ.สสว. กล่าว
สำหรับการพิจารณาให้รางวัลสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติ มีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานคณะกรรมการตัดสินนั้น คณะกรรมการได้ใช้เกณฑ์พิจารณาจากบทบาทของผู้บริหารในการนำองค์กร การวางแผนการดำเนินธุรกิจ การมุ่งเน้นลูกค้าและการตลาด การวัด วิเคราะห์ และการจัดการความรู้ การบริหารทรัพยากรบุคคล การจัดการ ผลลัพธ์จากความสำเร็จของการประกอบธุรกิจ และความมีธรรมาภิบาลต่อสังคมและส่วนรวม ซึ่งหลักเกณฑ์เหล่านี้ จะใช้เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาการมอบรางวัล
ผู้อำนวยการ สสว. เปิดเผยอีกว่า ผู้ชนะการประกวดรางวัลสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติในปีนี้จะได้รับโล่รางวัล และใบประกาศเกียรติคุณจากนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี และได้รับการสนับสนุนจาก สสว. ในด้านการพัฒนาไปสู่การเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในสาขาธุรกิจของตนเอง พร้อมกันนี้ ยังจะส่งต่อไปยังสถาบันการเงินทั้งภาครัฐและเอกชน กรณีผู้ประกอบการต้องการเงินทุน ที่สำคัญ ผู้ประกอบการทุกรายที่ส่งธุรกิจเข้าประกวด จะได้รับประโยชน์อย่างมาก เพราะได้รับรู้ถึงจุดดีและจุดอ่อนของตัวเอง ถึงแม้จะไม่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ ผู้ประกอบการก็จะได้รับประโยชน์และกำไรในการพัฒนาองค์กรของตน
นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า การประกวดรางวัลสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติในครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเกินความคาดหมาย เพราะกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่มีความกระตือรือร้นต้องการจะพัฒนาชื่อเสียงของบริษัทให้ได้มาตรฐาน และมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสนใจเข้าร่วมประกวดครั้งนี้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการจัดประกวดได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ได้พัฒนาตนเองสู่การดำเนินธุรกิจที่ได้มาตรฐาน เป็นมืออาชีพมากขึ้น
“สสว.มุ่งหวังให้รางวัลสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติ เป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการในประเทศพัฒนาศักยภาพตนเองอย่างต่อเนื่อง มีรูปแบบและมาตรฐานที่นำมาเป็นกรอบในการจัดการและดำเนินธุรกิจ เพราะที่ผ่านมายังขาดความเป็นมาตรฐานสากลในการบริหารจัดการด้านการเงิน การบริหารสภาพคล่อง การควบคุมคุณภาพสินค้าและบริการ อีกทั้งความมีธรรมาภิบาลในการประกอบธุรกิจ รางวัลนี้จะเปรียบเสมือนตราสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นมาตรฐานและความเป็นมืออาชีพที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก” นายยุทธศักดิ์กล่าว
นอกจากนี้ ในงานพิธีมอบรางวัลสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติดังกล่าว สสว. ยังได้เชิญ นายพีรเวท กิจบูรณะ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการส่วนงานการตลาด SMEs และกลุ่มลูกค้าองค์กรส่วนภูมิภาค บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส ซึ่งมีความร่วมมือกับ สสว. มากว่า 4 ปี ในการส่งเสริมผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อลดต้นทุน และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย มาร่วมแสดงความยินดี พร้อมกับมอบของรางวัลพิเศษ SME SIM ทั้งหมด 7 ซิม ให้แก่สุดยอดเอสเอ็มอีทุกราย
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังงานมอบรางวัลผู้ชนะการประกวดสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติครั้งที่ 2 สำหรับรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ให้ความสำคัญต่อเอสเอ็มอีเป็นอย่างมาก เพราะจากสัดส่วนของการสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมได้ถึง 3.44 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 37.8 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งประเทศ ดังนั้น รัฐบาลจึงให้การสนับสนุนทุกกระบวนการที่จะนำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งให้แก่เอสเอ็มอี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกได้ และการเป็นสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติ ก็จะเป็นเครื่องยืนยันสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ว่าเป็นผู้ที่สามารถพัฒนาก้าวไปอีกระดับหนึ่ง รวมถึงเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ๆ ถือเป็นแบบอย่างด้วย
ด้านนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวในฐานะประธานการจัดงานว่า ทางกระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายสนับสนุนให้เอสเอ็มอีสามารถพัฒนาและเติบโตได้อย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรอบปีที่ผ่านมา รัฐบาลมีมาตรการเพื่อเสริมสร้างสภาพคล่องของเอสเอ็มอี เช่น การปล่อยสินเชื่อ การค้ำประกันสินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอีที่ผ่านการพิจารณาจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 6 แห่งกว่า 4 ล้านราย ในวงเงินรวมกว่า 1,000 ล้านบาท ไปจนถึงการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่เอสเอ็มอี โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมไปแล้วกว่า 13,000 ล้านบาท และในส่วนของ สสว. ก็ได้จัดการประกวดคัดเลือกสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติขึ้นเพื่อยกระดับ มาตรฐานการบริหารจัดการให้เป็นที่ยอมรับ
สำหรับนายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า นอกจากตนในฐานะที่เป็นประธานอนุกรรมการตัดสินรางวัลการประกวดสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติครั้งที่ 2 นี้ ยังมีผู้แทนจากหน่วยงานร่วมอีกหลายแห่งมาร่วมพิจารณาตัดสิน เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลเกิดความมั่นใจว่ารางวัล “สุดยอด SMEs แห่งชาติ” เป็นรางวัลที่มีมาตรฐาน และสามารถใช้รับรองความมีคุณภาพของสินค้าและกิจการ โดยนำหลักเกณฑ์ของรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award: TQA) ซึ่งเป็นรางวัลที่มีพื้นฐานด้านเทคนิค วิธีการ และหลักเกณฑ์ในการพิจารณาตามมาตรฐานเดียวกันกับประเทศสหรัฐอเมริกา มาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาตัดสินธุรกิจที่เข้าร่วมประกวด
ทางด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเอสเอ็มอี (สสว.) กล่าวว่า สสว.ได้จัดการประกวดรางวัลสุดยอด SMEs แห่งชาติขึ้น เพื่อค้นหาเอสเอ็มอีต้นแบบที่ได้มาตรฐานและประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการของ 11 อุตสาหกรรมเด่นที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ 1.กลุ่มผู้ผลิตอาหารและสมุนไพร 2. กลุ่มผู้ผลิตเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอ 3. กลุ่มผู้ผลิตอัญมณีและเครื่องประดับ 4. กลุ่มผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ 5. กลุ่มผู้ผลิตเครื่องหนังและรองเท้า 6. กลุ่มผู้พัฒนาซอฟแวร์และ Application 7. กลุ่มผู้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ 8. กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ 9. กลุ่มผู้บริการธุรกิจสปา 10. กลุ่มผู้บริการธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท 11. กลุ่มธุรกิจของขวัญ ของชำร่วย และของตกแต่งบ้าน
“สำหรับผลการตัดสินปรากฎว่ามีผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติครั้งที่ 2 ประจำปี พ.ศ. 2552 ในครั้งนี้ จำนวน 7 รางวัล และรางวัลชมเชยอีก 29 รางวัล โดยผู้ที่ได้รับรางวัลสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติ ทั้ง 7 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย บริษัท ซัน สวีท จำกัด กลุ่มธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร บริษัท คัฟเวอร์แนนท์ จำกัด เป็นกลุ่มธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม บริษัท ภูเก็ต เพิร์ล อินดัสทรี จำกัด เป็นกลุ่มธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับ บริษัท อี-บิซิเนส พลัส จำกัด เป็นกลุ่มธุรกิจ Software และ Application บริษัท ไทยเซ็นทรัลเมคคานิคส์ จำกัด เป็นกลุ่มธุรกิจเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ บริษัท โอ.อี.ไอ. พาร์ท จำกัด เป็นกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ และบริษัท ฟาสเทคโน จำกัด เป็นกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์” ผอ.สสว. กล่าว
สำหรับการพิจารณาให้รางวัลสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติ มีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานคณะกรรมการตัดสินนั้น คณะกรรมการได้ใช้เกณฑ์พิจารณาจากบทบาทของผู้บริหารในการนำองค์กร การวางแผนการดำเนินธุรกิจ การมุ่งเน้นลูกค้าและการตลาด การวัด วิเคราะห์ และการจัดการความรู้ การบริหารทรัพยากรบุคคล การจัดการ ผลลัพธ์จากความสำเร็จของการประกอบธุรกิจ และความมีธรรมาภิบาลต่อสังคมและส่วนรวม ซึ่งหลักเกณฑ์เหล่านี้ จะใช้เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาการมอบรางวัล
ผู้อำนวยการ สสว. เปิดเผยอีกว่า ผู้ชนะการประกวดรางวัลสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติในปีนี้จะได้รับโล่รางวัล และใบประกาศเกียรติคุณจากนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี และได้รับการสนับสนุนจาก สสว. ในด้านการพัฒนาไปสู่การเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในสาขาธุรกิจของตนเอง พร้อมกันนี้ ยังจะส่งต่อไปยังสถาบันการเงินทั้งภาครัฐและเอกชน กรณีผู้ประกอบการต้องการเงินทุน ที่สำคัญ ผู้ประกอบการทุกรายที่ส่งธุรกิจเข้าประกวด จะได้รับประโยชน์อย่างมาก เพราะได้รับรู้ถึงจุดดีและจุดอ่อนของตัวเอง ถึงแม้จะไม่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ ผู้ประกอบการก็จะได้รับประโยชน์และกำไรในการพัฒนาองค์กรของตน
นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า การประกวดรางวัลสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติในครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเกินความคาดหมาย เพราะกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่มีความกระตือรือร้นต้องการจะพัฒนาชื่อเสียงของบริษัทให้ได้มาตรฐาน และมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสนใจเข้าร่วมประกวดครั้งนี้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการจัดประกวดได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ได้พัฒนาตนเองสู่การดำเนินธุรกิจที่ได้มาตรฐาน เป็นมืออาชีพมากขึ้น
“สสว.มุ่งหวังให้รางวัลสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติ เป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการในประเทศพัฒนาศักยภาพตนเองอย่างต่อเนื่อง มีรูปแบบและมาตรฐานที่นำมาเป็นกรอบในการจัดการและดำเนินธุรกิจ เพราะที่ผ่านมายังขาดความเป็นมาตรฐานสากลในการบริหารจัดการด้านการเงิน การบริหารสภาพคล่อง การควบคุมคุณภาพสินค้าและบริการ อีกทั้งความมีธรรมาภิบาลในการประกอบธุรกิจ รางวัลนี้จะเปรียบเสมือนตราสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นมาตรฐานและความเป็นมืออาชีพที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก” นายยุทธศักดิ์กล่าว
นอกจากนี้ ในงานพิธีมอบรางวัลสุดยอดเอสเอ็มอีแห่งชาติดังกล่าว สสว. ยังได้เชิญ นายพีรเวท กิจบูรณะ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการส่วนงานการตลาด SMEs และกลุ่มลูกค้าองค์กรส่วนภูมิภาค บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส ซึ่งมีความร่วมมือกับ สสว. มากว่า 4 ปี ในการส่งเสริมผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อลดต้นทุน และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย มาร่วมแสดงความยินดี พร้อมกับมอบของรางวัลพิเศษ SME SIM ทั้งหมด 7 ซิม ให้แก่สุดยอดเอสเอ็มอีทุกราย