ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เสนอกระทรวงอุตสาหกรรม จัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าเอสเอ็มอีทั่วประเทศปีนี้อย่างน้อย 10-15 แห่ง พร้อมเร่งเสริมสภาพคล่อง และดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวในการประชุมร่วมหัวข้อ “คลังสมองเพื่อชาติ ยุทธศาสตร์ภาครัฐและเอกชน”ซึ่งมีนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ว่าในส่วนของภาคเอกชนต้องการให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าในกลุ่มเอสเอ็มอีทั่วประเทศปีนี้อย่างน้อย 10-15 แห่ง
นอกจากนี้ ต้องการให้ภาครัฐหาแนวทางเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจเอสเอ็มอี พร้อมกันนี้ ควรจะได้มีการประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อดูแลเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งขณะนี้ค่าเงินบาทอยู่ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าเหมาะสม ภาครัฐจะต้องไม่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ควรทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการนำเข้าสินค้าไทย พยายามอย่าให้ชะลอนำเข้าสินค้ามากเกินไป ซึ่งภาครัฐจะต้องดำเนินการเร่งด่วน เพื่อไม่ให้ภาคส่งออกติดลบ ส่วนข้อเสนอในเรื่องยกเว้นจัดเก็บเงินสมทบประกันสังคมในช่วง 2 ปี ส.อ.ท. อยากให้จัดเก็บเพียงร้อยละ 0.5-1.0 เมื่อภาวะเศรษฐฏิจเข้าสู่ภาวะปกติก็อาจจะเก็บในอัตราร้อยละ 5 เหมือนเดิม
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวในการประชุมร่วมหัวข้อ “คลังสมองเพื่อชาติ ยุทธศาสตร์ภาครัฐและเอกชน”ซึ่งมีนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ว่าในส่วนของภาคเอกชนต้องการให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าในกลุ่มเอสเอ็มอีทั่วประเทศปีนี้อย่างน้อย 10-15 แห่ง
นอกจากนี้ ต้องการให้ภาครัฐหาแนวทางเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจเอสเอ็มอี พร้อมกันนี้ ควรจะได้มีการประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อดูแลเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งขณะนี้ค่าเงินบาทอยู่ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าเหมาะสม ภาครัฐจะต้องไม่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ควรทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการนำเข้าสินค้าไทย พยายามอย่าให้ชะลอนำเข้าสินค้ามากเกินไป ซึ่งภาครัฐจะต้องดำเนินการเร่งด่วน เพื่อไม่ให้ภาคส่งออกติดลบ ส่วนข้อเสนอในเรื่องยกเว้นจัดเก็บเงินสมทบประกันสังคมในช่วง 2 ปี ส.อ.ท. อยากให้จัดเก็บเพียงร้อยละ 0.5-1.0 เมื่อภาวะเศรษฐฏิจเข้าสู่ภาวะปกติก็อาจจะเก็บในอัตราร้อยละ 5 เหมือนเดิม