นักวิชาการ ม.หอการค้าไทย ชี้ผลสำรวจสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ ยอดการสั่งซื้อลดลง 73% แบงก์ ไม่ปล่อยสินเชื่อ ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการรายใหญ่กระทบมากสุด ร้องรัฐฯ เข้าช่วยเหลือ เชื่อภาคธุรกิจท่องเที่ยวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจปีหน้าได้แน่
นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึง ผลสำรวจสภาพคล่องภาคธุรกิจ จากผู้ประกอบการ 400 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 11-16 ธันวาคม ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ประกอบการประสบปัญหาแล้วกว่า 73% มาจากยอดคำสั่งซื้อลดลง ต้นทุนสูงขึ้น แหล่งเงินกู้ไม่ปล่อยสินเชื่อ เพราะมีปัญหาเรื่องหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญทำให้ขาดสภาพคล่อง
ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจที่ขาดสภาพคล่องส่วนใหญ่ จะอยู่ที่กลุ่มประกอบการรายใหญ่ร้อยละ 77.03 ขนาดกลาง ร้อยละ 74.07 รายย่อยร้อยละ 69.05 ทั้งนี้ต้องการขอสินเชื่อเพิ่มมากถึงร้อยละ 34.6 ขณะที่ร้อยละ 65.4 ยังไม่ต้องการขอสินเชื่อเพิ่มเติม และเหตุผลที่ต้องการขอสินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อนำไปเสริมสภาพคล่อง แต่ขณะเดียวกัน ในการขอสินเชื่อเพิ่ม สถาบันการเงินส่วนใหญ่มีการปล่อยยากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ต้องการได้รับการดูแลจากภาครัฐ เพื่อให้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้ คือ การลดอัตราดอกเบี้ย ธนาคารปล่อยสินเชื่อง่ายขึ้น ยืดระยะเวลาผ่อนชำระสินเชื่อ สนับสนุนเงินลงทุนต้นทุนต่ำ เร่งพัฒนาด้านการส่งออก ตลาดส่งออก การส่งเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการอยากให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการเร่งด่วน
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชยั ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยว่า จากการที่เศรษฐกิจไตรมาส 4 มีแนวโน้มลดลง และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง มองว่าโอกาสที่เศรษฐกิจไตรมาส 4 อาจจะติดลบร้อยละ 1 ทางศูนย์ฯ ยังมองว่า ไตรมาส 4 น่าเป็นห่วง และอาจจะติดลบมากกว่าร้อยละ 2 จึงต้องการให้ภาครัฐเร่งหามาตรการกระตุ้นภาคเศรษฐกิจส่วนต่าง ๆ เร่งด่วน เพราะเชื่อว่าไตรมาสแรก ปี 2552 คาดว่าเศรษฐกิจจะปรับตัวลดลง และอาจติดลบ ซึ่งรัฐบาลจะต้องเร่งทุก ๆ ด้านเพื่อลดปัญหาการว่างงาน เพื่อให้ภาคธุรกิจประคองกิจการต่อไปได้ ซึ่งปีหน้าการพึ่งพาภาคส่งออกคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากแนวโน้มธุรกิจส่งออกลดลง ดังนั้น สิ่งที่จะต้องพึ่งพาคือ ภาคท่องเที่ยวเป็นตัวหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจปีหน้า ทางศูนย์ฯ ยังมองว่า เศรษฐกิจปีนี้น่าจะเติบโตร้อยละ 3.5-4 และปีหน้ายังเชื่อว่าจะเติบโตร้อยละ 3.5 แต่ทางศูนย์ฯ ขอเวลาทบทวนเศรษฐกิจปี 2551 อีกครั้ง และจะประกาศการประเมินภาพรวมต่อไป สำหรับสิ่งที่อยากฝากรัฐบาล คือ แนวทาง 3 ฉ. ที่รัฐบาลใหม่ต้องดำเนินการ คือ ฉับไว เฉียบคม และฉุกเฉิน ซึ่งจะต้องดำเนินการเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อประเทศไทย
นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึง ผลสำรวจสภาพคล่องภาคธุรกิจ จากผู้ประกอบการ 400 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 11-16 ธันวาคม ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ประกอบการประสบปัญหาแล้วกว่า 73% มาจากยอดคำสั่งซื้อลดลง ต้นทุนสูงขึ้น แหล่งเงินกู้ไม่ปล่อยสินเชื่อ เพราะมีปัญหาเรื่องหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญทำให้ขาดสภาพคล่อง
ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจที่ขาดสภาพคล่องส่วนใหญ่ จะอยู่ที่กลุ่มประกอบการรายใหญ่ร้อยละ 77.03 ขนาดกลาง ร้อยละ 74.07 รายย่อยร้อยละ 69.05 ทั้งนี้ต้องการขอสินเชื่อเพิ่มมากถึงร้อยละ 34.6 ขณะที่ร้อยละ 65.4 ยังไม่ต้องการขอสินเชื่อเพิ่มเติม และเหตุผลที่ต้องการขอสินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อนำไปเสริมสภาพคล่อง แต่ขณะเดียวกัน ในการขอสินเชื่อเพิ่ม สถาบันการเงินส่วนใหญ่มีการปล่อยยากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ต้องการได้รับการดูแลจากภาครัฐ เพื่อให้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้ คือ การลดอัตราดอกเบี้ย ธนาคารปล่อยสินเชื่อง่ายขึ้น ยืดระยะเวลาผ่อนชำระสินเชื่อ สนับสนุนเงินลงทุนต้นทุนต่ำ เร่งพัฒนาด้านการส่งออก ตลาดส่งออก การส่งเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการอยากให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการเร่งด่วน
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชยั ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยว่า จากการที่เศรษฐกิจไตรมาส 4 มีแนวโน้มลดลง และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง มองว่าโอกาสที่เศรษฐกิจไตรมาส 4 อาจจะติดลบร้อยละ 1 ทางศูนย์ฯ ยังมองว่า ไตรมาส 4 น่าเป็นห่วง และอาจจะติดลบมากกว่าร้อยละ 2 จึงต้องการให้ภาครัฐเร่งหามาตรการกระตุ้นภาคเศรษฐกิจส่วนต่าง ๆ เร่งด่วน เพราะเชื่อว่าไตรมาสแรก ปี 2552 คาดว่าเศรษฐกิจจะปรับตัวลดลง และอาจติดลบ ซึ่งรัฐบาลจะต้องเร่งทุก ๆ ด้านเพื่อลดปัญหาการว่างงาน เพื่อให้ภาคธุรกิจประคองกิจการต่อไปได้ ซึ่งปีหน้าการพึ่งพาภาคส่งออกคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากแนวโน้มธุรกิจส่งออกลดลง ดังนั้น สิ่งที่จะต้องพึ่งพาคือ ภาคท่องเที่ยวเป็นตัวหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจปีหน้า ทางศูนย์ฯ ยังมองว่า เศรษฐกิจปีนี้น่าจะเติบโตร้อยละ 3.5-4 และปีหน้ายังเชื่อว่าจะเติบโตร้อยละ 3.5 แต่ทางศูนย์ฯ ขอเวลาทบทวนเศรษฐกิจปี 2551 อีกครั้ง และจะประกาศการประเมินภาพรวมต่อไป สำหรับสิ่งที่อยากฝากรัฐบาล คือ แนวทาง 3 ฉ. ที่รัฐบาลใหม่ต้องดำเนินการ คือ ฉับไว เฉียบคม และฉุกเฉิน ซึ่งจะต้องดำเนินการเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อประเทศไทย