บสย. เผยแผนปีนี้ เน้นค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอีระดับฐานราก เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติ ตั้งเป้าปีนี้ค้ำประกันสินเชื่อ 6,500 ลบ. และลดเอ็นพีแอล เหลือร้อยละ 10
นายอนุสรณ์ เอมกมล ผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เผยว่า ในปี 2551 บสย. ได้รับนโยบายจากรัฐบาลให้มุ่งเน้นเข้าไปช่วยค้ำประกันสินเชื่อลูกค้าที่ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ในระดับฐานรากเป็นหลัก ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นฐานหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ บสย.ตั้งเป้าหมายค้ำประกันสินเชื่อปีนี้ 6,500 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจาก พิจารณาจากเป้าหมายของธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง จะเน้นค้ำประกันสินเชื่อเองทั้งหมด จึงไม่มีความจำเป็นต้องส่งให้ บสย. ซึ่งกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกประมาณร้อยละ 60-70 ของลูกค้าทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ 10,000 ราย และส่วนใหญ่จะมีวงเงินค้ำประกันอยู่ที่ระดับ 1-5 ล้านบาท หรือกว่าร้อยละ 50 ของพอร์ตการค้ำประกันทั้งหมด
นอกจากนั้น ปีนี้ บสย. ตั้งเป้าลดระดับลูกค้าที่เป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ลงจากร้อยละ 14 เหลือร้อยละ 10 โดยมีการจัดตั้งทีมงานเข้าไปดูแลลูกค้าที่เริ่มมีปัญหา ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าลูกค้ากลุ่มที่เป็นเอ็นพีแอลส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธุรกิจเครื่องนุ่งห่ม ระดับค้ำประกันที่วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท สาเหตุมาจากสภาพเศรษฐกิจปีที่ผ่านมาชะลอตัว
นายอนุสรณ์ เอมกมล ผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เผยว่า ในปี 2551 บสย. ได้รับนโยบายจากรัฐบาลให้มุ่งเน้นเข้าไปช่วยค้ำประกันสินเชื่อลูกค้าที่ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ในระดับฐานรากเป็นหลัก ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นฐานหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ บสย.ตั้งเป้าหมายค้ำประกันสินเชื่อปีนี้ 6,500 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจาก พิจารณาจากเป้าหมายของธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง จะเน้นค้ำประกันสินเชื่อเองทั้งหมด จึงไม่มีความจำเป็นต้องส่งให้ บสย. ซึ่งกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกประมาณร้อยละ 60-70 ของลูกค้าทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ 10,000 ราย และส่วนใหญ่จะมีวงเงินค้ำประกันอยู่ที่ระดับ 1-5 ล้านบาท หรือกว่าร้อยละ 50 ของพอร์ตการค้ำประกันทั้งหมด
นอกจากนั้น ปีนี้ บสย. ตั้งเป้าลดระดับลูกค้าที่เป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ลงจากร้อยละ 14 เหลือร้อยละ 10 โดยมีการจัดตั้งทีมงานเข้าไปดูแลลูกค้าที่เริ่มมีปัญหา ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าลูกค้ากลุ่มที่เป็นเอ็นพีแอลส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธุรกิจเครื่องนุ่งห่ม ระดับค้ำประกันที่วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท สาเหตุมาจากสภาพเศรษฐกิจปีที่ผ่านมาชะลอตัว
