"ประกิจ ไชยสงคราม" ทายาท "กำพล – มลิวัลย์ ไชยสงคราม" แห่ง ยงสงวน กรุ๊ป ผู้บริหาร "ยงสงวน เซฟแลนด์" ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งรายใหญ่ของ จ.อุบลราชธานี ที่วันนี้เขารั้งตำแหน่งกรรมการ ผู้จัดการและเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจครอบครัว ในจังหวะที่สถานการณ์การแข่งขันเป็นไปอย่างดุเดือดระหว่างค้าปลีกของไทยและต่างชาติที่ขยายสาขาเข้ามาในจังหวัดที่มีทั้งบิ๊กซี ซูเปอร์มาร์เก็ต เทสโก้ โลตัส แม็คโคร

ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ "ประกิจ" ได้สานต่อธุรกิจครอบครัว โดยได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการค้าให้มีความทันสมัยขึ้นทั้งในส่วนของคอนวีเนี่ยนสโตร์ที่ปัจจุบันมี 11 สาขาและค้าส่งอีก 1 สาขา เริ่มจากการรีแบรนด์ดิ้ง "ยงสงวน เซฟแลนด์" ในลุคใหม่สดใสขึ้น รวมถึงการออกแบบโลโก้ใหม่ให้กับคอนวีเนี่ยนสโตร์เพื่อเห็นความแตกต่างระหว่างค้าปลีกและค้าส่ง รวมถึง Concept ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคน สิ่งไหนที่ลูกค้าชอบ ได้มีการปรับเปลี่ยนใหม่
"เราว่าจ้างดีไซน์เนอร์ออกแบบโลโก้ของค้าปลีกใหม่ แล้วเทียบเคียงคู่แข่งว่าจะสามารถสู้ได้หรือไม่ รวมถึงรูปแบบร้านให้สถาปนิกออกแบบให้ดูเด่นชัดและน่าสนใจ"
และภายในปลายปี 2550 นี้ ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการบริหารจัดการ และข่าวสารข้อมูลจะแล้วเสร็จ ทำให้บริษัทมีความแข็งแรงและมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการยิ่งขึ้น
ซึ่งความพร้อมตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา "ประกิจ" ได้มองถึงการสร้างเครือข่ายกลยุทธแฟรนไชส์ โดยเข้าอบรมของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ในโครงการ Franchise B2B Thailand รุ่น 9
"ประกิจ" มองว่า กลยุทธ์แฟรนไชส์เหมาะกับสภาพตลาด และเล็งเห็นข้อดีของระบบแฟรนไชส์ว่า 1.ส่งเสริมให้ธุรกิจแต่ละสาขามีมาตรฐานเดียวกัน 2.แฟรนไชส์ช่วยลดความเสี่ยงการลงทุน และเป็นการเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดในหลายๆ อย่าง เช่น การจำจองพื้นที่ได้มากขึ้น และ 3.การเข้าอบรมกับกรมพัฒน์ฯ ทำให้กลับมาทบทวนธุรกิจตนเองครั้งใหญ่ว่าขาดอะไรไปบ้าง เพื่อเป็นแฟรนไชส์ที่ดีในอนาคต
"สิ่งสำคัญคือ อนาคตคาดหวังธุรกิจข้ามชาติ แข่งขันมาเราต้องเปลี่ยนทั้งเราและลูกค้าที่ไปเปิดในต่างอำเภอ และข้อดีหรือความสามารถที่มีในปัจจุบันจะสามารถส่งเสริมธุรกิจรายเล็กให้อยู่รอดและทำธุรกิจนี้ต่อไปในรูปแบบของแฟรนไชส์"

โดยได้วางขนาดการลงทุนที่ 2 ขนาด ในระบบแฟรนไชส์ คือ 120 ตร.ม. และ 140 ตร.ม. แบ่งเป็นค่าแฟรนไชฟี 3 แสน ค่าตกแต่ง 1 ล้านบาท (ขึ้นกับขนาดพื้นที่) ค่ามัดจำสินค้า 1.5 ล้านบาท (โดยบริษัทจ่ายให้ก่อนและให้เครดิตกับร้านค้า 30 วัน ) และค่าสำรวจพื้นที่ 20,000 บาท ประมาณการณ์การลงทุน 2.8 ล้านบาท สัญญา 7 ปี
"ประกิจ" ได้บอกถึงจุดแข็งของ "ยงสงวนเซฟแลนด์" ว่า 1.มีระบบการจัดส่งสินค้าที่ดี ซึ่งปัจจุบันครอบคลุมรัศมี 100 กิโลเมตรไปยังจังหวัดใกล้เคียง 2. เป็นธุรกิจค้าส่งที่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของค้าส่งในส่วนภูมิภาคที่มียอดสั่งซื้อจากซัพพลายเออร์มากที่สุด ทำให้มีศักยภาพในการซื้อและการบริหารราคาสินค้าไม่น้อยหน้ารายอื่นๆ 3. ระยะ 3 ปีที่ผ่านมาได้ทำการรีแบรนด์ดิ้ง เพื่อปรับให้เป็นสากลมากขึ้น
"เราเตรียมความพร้อมเพื่อรุกกลยุทธ์แฟรนไชส์ ทั้ง 11 สาขาที่ปรับไปแล้วประมาณ 4 สาขา แต่รูปแบบการตกแต่งอาจแตกต่างกัน ด้วยโลเกชั่นที่ไม่เหมือนกัน เพราะในบางพื้นที่สะแตนอะโลนมีตึกเราตึกเดียว จึงเน้นด้านสถาปัตยกรรมเหมือนป้ายโฆษณาชิ้นหนึ่ง ซึ่งทำให้ตัวตึกดูโดดเด่นน่าสนใจ ซึ่งผลจากการรีแบรนด์ดึงดูดความสนใจของลูกค้าเข้าใช้บริการมากขึ้นและเพิ่มยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นด้วย"
"ประกิจ" ยอมรับว่า การแข่งขันในพื้นที่ค่อนข้างสูงทั้งค้าปลีก ค้าส่ง แต่พฤติกรรมของคนในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงจะเลือกใช้บริการรายที่มีทำเลที่สะดวกในการเดินทางและราคา แม้ยงสงวนเซฟแลนด์จะมีสาขาที่น้อยกว่า ในส่วนของคอนวีเนี่ยนสโตร์ก็ตาม แต่สินค้ามีราคาถูกกว่าหลายๆ ราย
ขณะเดียวกันสินค้าที่จำหน่ายในร้านเป็นทั้งของกินของใช้ของเฉพาะของใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งคอนวีเนี่ยนสโตร์รายอื่นส่วนใหญ่เน้นที่ของกินเป็นหลัก กับการรีแบรนด์ดิ้งใหม่นี้ได้เพิ่มความสะดวกในการให้บริการ ทั้งรวดเร็วและบรรยากาศที่ดี สะอาด การจัดเรียงสินค้า ซึ่งในบางสาขาที่ต้องชนกับรายใหญ่คอนวีเนี่ยนสโตร์ยอดขายยังอยู่ในเกณฑ์ดี
"จากสแกลการค้าส่งของยงสงวนที่ค่อนข้างใหญ่ ส่งผลต่อปัจจัยราคาทำให้มีต้นทุนที่ต่ำลงและราคาสินค้าถูกลง ทำให้สามารถสู้ด้านราคากับรายใหญ่ทั้งค้าปลีก ค้าส่งได้ รวมถึงหาช่องว่างใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเพราะเป็นคนในพื้นที่ และพยามทำให้ยงสงวนเซฟแลนด์มีความเป็นมาตรฐานในการแข่งขันทุกด้าน ไม่เฉพาะราคาสินค้าต่ำกว่าเท่านั้น"
หากมองถึงการแข่งขันของธุรกิจคอนวีเนี่ยนสโตร์ "ประกิจ" บอกว่า เงื่อนไขไม่แตกต่างกันมากนัก ที่ขึ้นอยู่กับ 1.ต้นทุนการบริหาร มีศักยภาพในการบริหารราคาให้ถูกกว่าได้หรือไม่ 2.โนว์ฮาวที่นำมาใช้ทั้งรูปลักษณ์ของแบรนด์สวยงามดึงดูดความสนใจลูกค้าหรือไม่ การจัดร้าน จัดเรียงสินค้า สะดวกต่อการหยิบจับ 3.การบริการที่ดีจากพนักงาน
เขาบอกว่าเป็นการยากเหมือนกันที่จะสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจ แต่ด้วยเป็นไลฟ์สไตล์ชอปของคนไทยและเป็นช่องการการจำหน่ายโดยคนไทยต้องสร้างให้เกิดขึ้น เพราะถ้ามีต่างชาติขยายการลงทุนเข้ามาเรื่อยๆ สิ่งที่เสียไปไม่ใช่เฉพาะร้านค้าแต่เป็นการเสียช่องทางการจัดจำหน่าย นั้นหมายความว่า ถ้าผู้ประกอบการไทยที่จะขายสินค้าต้องจ่ายสูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องมานั่งขายของข้างทาง
ซึ่งต้องหันกลับมามองธุรกิจถ้ามีการปรับปรุงคอนวีเนี่ยนให้ดี สามารถแข่งขันได้ สนุกและรักกับงานที่ทำ จะทำให้วันหนึ่งยงสงวนเซฟแลนด์ หาจุดแข็งได้ ซึ่งการแข่งขันพื้นฐานนั้นมีความพร้อมอยู่แล้ว
สำหรับเป้าหมายในการขยายสู่กลยุทธ์แฟรนไชส์นั้น "ประกิจ" ตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปีนี้จะขยายสาขาให้ได้ 25 สาขามุ่งการลงทุนของบริษัทก่อนพร้อมกับแฟรนไชสซีที่มีศักยภาพ ครอบคลุมพื้นที่ในรัศมี 100 กิโลเมตรกินพื้นที่ถึงจังหวัดใกล้เคียงอย่าง ยโสธร อำนาจเจริญ และในอนาคตคาดจะเห็นสาขายงสงวนเต็มพื้นที่ในจังหวัดภาคอีสาน !
ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ "ประกิจ" ได้สานต่อธุรกิจครอบครัว โดยได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการค้าให้มีความทันสมัยขึ้นทั้งในส่วนของคอนวีเนี่ยนสโตร์ที่ปัจจุบันมี 11 สาขาและค้าส่งอีก 1 สาขา เริ่มจากการรีแบรนด์ดิ้ง "ยงสงวน เซฟแลนด์" ในลุคใหม่สดใสขึ้น รวมถึงการออกแบบโลโก้ใหม่ให้กับคอนวีเนี่ยนสโตร์เพื่อเห็นความแตกต่างระหว่างค้าปลีกและค้าส่ง รวมถึง Concept ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคน สิ่งไหนที่ลูกค้าชอบ ได้มีการปรับเปลี่ยนใหม่
"เราว่าจ้างดีไซน์เนอร์ออกแบบโลโก้ของค้าปลีกใหม่ แล้วเทียบเคียงคู่แข่งว่าจะสามารถสู้ได้หรือไม่ รวมถึงรูปแบบร้านให้สถาปนิกออกแบบให้ดูเด่นชัดและน่าสนใจ"
และภายในปลายปี 2550 นี้ ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการบริหารจัดการ และข่าวสารข้อมูลจะแล้วเสร็จ ทำให้บริษัทมีความแข็งแรงและมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการยิ่งขึ้น
ซึ่งความพร้อมตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา "ประกิจ" ได้มองถึงการสร้างเครือข่ายกลยุทธแฟรนไชส์ โดยเข้าอบรมของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ในโครงการ Franchise B2B Thailand รุ่น 9
"ประกิจ" มองว่า กลยุทธ์แฟรนไชส์เหมาะกับสภาพตลาด และเล็งเห็นข้อดีของระบบแฟรนไชส์ว่า 1.ส่งเสริมให้ธุรกิจแต่ละสาขามีมาตรฐานเดียวกัน 2.แฟรนไชส์ช่วยลดความเสี่ยงการลงทุน และเป็นการเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดในหลายๆ อย่าง เช่น การจำจองพื้นที่ได้มากขึ้น และ 3.การเข้าอบรมกับกรมพัฒน์ฯ ทำให้กลับมาทบทวนธุรกิจตนเองครั้งใหญ่ว่าขาดอะไรไปบ้าง เพื่อเป็นแฟรนไชส์ที่ดีในอนาคต
"สิ่งสำคัญคือ อนาคตคาดหวังธุรกิจข้ามชาติ แข่งขันมาเราต้องเปลี่ยนทั้งเราและลูกค้าที่ไปเปิดในต่างอำเภอ และข้อดีหรือความสามารถที่มีในปัจจุบันจะสามารถส่งเสริมธุรกิจรายเล็กให้อยู่รอดและทำธุรกิจนี้ต่อไปในรูปแบบของแฟรนไชส์"
โดยได้วางขนาดการลงทุนที่ 2 ขนาด ในระบบแฟรนไชส์ คือ 120 ตร.ม. และ 140 ตร.ม. แบ่งเป็นค่าแฟรนไชฟี 3 แสน ค่าตกแต่ง 1 ล้านบาท (ขึ้นกับขนาดพื้นที่) ค่ามัดจำสินค้า 1.5 ล้านบาท (โดยบริษัทจ่ายให้ก่อนและให้เครดิตกับร้านค้า 30 วัน ) และค่าสำรวจพื้นที่ 20,000 บาท ประมาณการณ์การลงทุน 2.8 ล้านบาท สัญญา 7 ปี
"ประกิจ" ได้บอกถึงจุดแข็งของ "ยงสงวนเซฟแลนด์" ว่า 1.มีระบบการจัดส่งสินค้าที่ดี ซึ่งปัจจุบันครอบคลุมรัศมี 100 กิโลเมตรไปยังจังหวัดใกล้เคียง 2. เป็นธุรกิจค้าส่งที่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของค้าส่งในส่วนภูมิภาคที่มียอดสั่งซื้อจากซัพพลายเออร์มากที่สุด ทำให้มีศักยภาพในการซื้อและการบริหารราคาสินค้าไม่น้อยหน้ารายอื่นๆ 3. ระยะ 3 ปีที่ผ่านมาได้ทำการรีแบรนด์ดิ้ง เพื่อปรับให้เป็นสากลมากขึ้น
"เราเตรียมความพร้อมเพื่อรุกกลยุทธ์แฟรนไชส์ ทั้ง 11 สาขาที่ปรับไปแล้วประมาณ 4 สาขา แต่รูปแบบการตกแต่งอาจแตกต่างกัน ด้วยโลเกชั่นที่ไม่เหมือนกัน เพราะในบางพื้นที่สะแตนอะโลนมีตึกเราตึกเดียว จึงเน้นด้านสถาปัตยกรรมเหมือนป้ายโฆษณาชิ้นหนึ่ง ซึ่งทำให้ตัวตึกดูโดดเด่นน่าสนใจ ซึ่งผลจากการรีแบรนด์ดึงดูดความสนใจของลูกค้าเข้าใช้บริการมากขึ้นและเพิ่มยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นด้วย"
"ประกิจ" ยอมรับว่า การแข่งขันในพื้นที่ค่อนข้างสูงทั้งค้าปลีก ค้าส่ง แต่พฤติกรรมของคนในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงจะเลือกใช้บริการรายที่มีทำเลที่สะดวกในการเดินทางและราคา แม้ยงสงวนเซฟแลนด์จะมีสาขาที่น้อยกว่า ในส่วนของคอนวีเนี่ยนสโตร์ก็ตาม แต่สินค้ามีราคาถูกกว่าหลายๆ ราย
ขณะเดียวกันสินค้าที่จำหน่ายในร้านเป็นทั้งของกินของใช้ของเฉพาะของใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งคอนวีเนี่ยนสโตร์รายอื่นส่วนใหญ่เน้นที่ของกินเป็นหลัก กับการรีแบรนด์ดิ้งใหม่นี้ได้เพิ่มความสะดวกในการให้บริการ ทั้งรวดเร็วและบรรยากาศที่ดี สะอาด การจัดเรียงสินค้า ซึ่งในบางสาขาที่ต้องชนกับรายใหญ่คอนวีเนี่ยนสโตร์ยอดขายยังอยู่ในเกณฑ์ดี
"จากสแกลการค้าส่งของยงสงวนที่ค่อนข้างใหญ่ ส่งผลต่อปัจจัยราคาทำให้มีต้นทุนที่ต่ำลงและราคาสินค้าถูกลง ทำให้สามารถสู้ด้านราคากับรายใหญ่ทั้งค้าปลีก ค้าส่งได้ รวมถึงหาช่องว่างใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเพราะเป็นคนในพื้นที่ และพยามทำให้ยงสงวนเซฟแลนด์มีความเป็นมาตรฐานในการแข่งขันทุกด้าน ไม่เฉพาะราคาสินค้าต่ำกว่าเท่านั้น"
หากมองถึงการแข่งขันของธุรกิจคอนวีเนี่ยนสโตร์ "ประกิจ" บอกว่า เงื่อนไขไม่แตกต่างกันมากนัก ที่ขึ้นอยู่กับ 1.ต้นทุนการบริหาร มีศักยภาพในการบริหารราคาให้ถูกกว่าได้หรือไม่ 2.โนว์ฮาวที่นำมาใช้ทั้งรูปลักษณ์ของแบรนด์สวยงามดึงดูดความสนใจลูกค้าหรือไม่ การจัดร้าน จัดเรียงสินค้า สะดวกต่อการหยิบจับ 3.การบริการที่ดีจากพนักงาน
เขาบอกว่าเป็นการยากเหมือนกันที่จะสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจ แต่ด้วยเป็นไลฟ์สไตล์ชอปของคนไทยและเป็นช่องการการจำหน่ายโดยคนไทยต้องสร้างให้เกิดขึ้น เพราะถ้ามีต่างชาติขยายการลงทุนเข้ามาเรื่อยๆ สิ่งที่เสียไปไม่ใช่เฉพาะร้านค้าแต่เป็นการเสียช่องทางการจัดจำหน่าย นั้นหมายความว่า ถ้าผู้ประกอบการไทยที่จะขายสินค้าต้องจ่ายสูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องมานั่งขายของข้างทาง
ซึ่งต้องหันกลับมามองธุรกิจถ้ามีการปรับปรุงคอนวีเนี่ยนให้ดี สามารถแข่งขันได้ สนุกและรักกับงานที่ทำ จะทำให้วันหนึ่งยงสงวนเซฟแลนด์ หาจุดแข็งได้ ซึ่งการแข่งขันพื้นฐานนั้นมีความพร้อมอยู่แล้ว
สำหรับเป้าหมายในการขยายสู่กลยุทธ์แฟรนไชส์นั้น "ประกิจ" ตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปีนี้จะขยายสาขาให้ได้ 25 สาขามุ่งการลงทุนของบริษัทก่อนพร้อมกับแฟรนไชสซีที่มีศักยภาพ ครอบคลุมพื้นที่ในรัศมี 100 กิโลเมตรกินพื้นที่ถึงจังหวัดใกล้เคียงอย่าง ยโสธร อำนาจเจริญ และในอนาคตคาดจะเห็นสาขายงสงวนเต็มพื้นที่ในจังหวัดภาคอีสาน !