“ปิยะบุตร” ชี้ทางรอดเอสเอ็มอี เร่งพัฒนานวัตกรรมแข่งเวทีโลก

“ปิยะบุตร” ชี้ทางรอดเอสเอ็มอีต้องเร่งพัฒนานวัตกรรมและต่อยอดภูมิปัญญา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับผู้ผลิตรายอื่นจากทั่วโลก ยอมรับเอสเอ็มอีไทยน่าห่วงปรับตัวพร้อมน้อยราย

นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวในการเปิดประธานเปิดงาน “Grand iTAP Day” ว่า หนทางรอดของผู้ประกอบการระดับกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) นับจากนี้อยู่ที่การเพิ่มขีดความสามารถของตัวเองเพื่อแข่งขันกับผู้ผลิตจากทั่วโลกให้ได้ โดยสิ่งสำคัญอยู่ที่สร้างนวัตกรรมใหม่ หรือต่อยอดจากภูมิปัญญาเดิมที่มีอยู่เดิมแล้ว เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีมูลค่าเพิ่ม และแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด

“อุตสาหกรรมไทยเดินจากถึงยุคที่ 3 ที่ต้องแข่งขันกันด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม จากยุคแรก คือ ลอกเลียนแบบจากต่างชาติ มาถึงยุคสองในการรับจ้างผลิต ซึ่งเราเคยมีข้อได้เปรียบจากค่าแรงงานถูก และที่ดินราคาต่ำ แต่ปัจจุบันข้อได้เปรียบต่างๆ เหล่านี้ เราไม่มีแล้ว ดังนั้น เราต้องก้าวมาสู่ยุคที่ 3 กัน ซึ่งยังมีเอสเอ็มอีจำนวนน้อยมากที่ปรับตัวมาสู่จุดนี้ได้ เป็นเรื่องน่าห่วงอย่างยิ่ง” นายปิยะบุตร กล่าว

อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลจึงพยายามกระตุ้นให้เอสเอ็มอีนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการปรับปรุงคุณภาพและกระบวนการผลิตผ่านในหลายๆ โครงการ ซึ่งโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย หรื อiTAP เป็นหนึ่งในนั้น โดยในปีนี้ (2550) ทางรัฐบาลโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ให้งบประมาณดำเนินงานทั้งสิ้น 100 ล้านบาท

สำหรับงาน “Grand iTAP Day” จัดขึ้นเพื่อนำเสนอผลงานของโครงการ iTAP ที่จะช่วยสร้างแรงกระตุ้นให้เอสเอ็มอีได้ปรับแนวคิดและมีการปรับตัวโดยใช้เทคโนโลยีและปัญญาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ