หลังจากที่แบรนด์พิซซ่า ทูเดย์ เป็นที่รู้จักของคนไทยมาพอสมควร ตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 โดยมาในรูปแบบของคีออส และขยายสาขาอย่างต่อเนื่องกับห้างดิสเคาน์สโตร์ ตามอัตราการเปิดจองของห้าง ส่งผลให้พิซซ่า ทูเดย์ ปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 47 สาขา สวนกระแสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
แต่เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาแม้ว่าอัตราการเติบโตของพิซซ่า ทูเดย์ สูงขึ้นทุกปี แต่หากมองให้ถ่องแท้แล้วมีผู้บริโภคจำนวนมากที่ต้องการบริโภคพิซซ่า ในขณะที่การเข้าถึงสินค้าและราคายังเป็นอุปสรรคต่อผู้บริโภคส่วนใหญ่ ดังนั้นจากจุดนี้เองทำให้นายศุภกิจ รุ่งโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท พิซซ่า ทูเดย์ จำกัด ผู้บริหารธุรกิจร้านพิซซ่าลอยฟ้าชื่อดังของเมืองไทย จึงต้องปรับกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อตอบสนองตามต้องการของผู้บริโภที่เป็นกลุ่มคนชั้นกลางมากขึ้น
“จาก 47 สาขา ที่ทางพิซซ่า ทูเดย์ ได้เน้นทำเลตามดิสเคารน์สโตร์ ทำให้มีข้อจำกัดในเรื่องการควบคุมเวลาเปิด-ปิด และกลุ่มผู้บริโภค ดังนั้นทางเราจึงต้องขยายสาขาลงสู่ตลาดล่าง เพื่อครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม ซึ่งตัวเลขมูลค่าการตลาดพิซซ่าในประเทศไทยมีประมาณ 3,000 ล้านบาท แต่มีการกระจุกตัวของการบริโภคเพียงบางส่วนเท่านั้น โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพชั้นใน ทั้งที่จริงมูลค่าการตลาดสามารถที่จะเติบโตได้เป็นหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว”
ทั้งนี้เพื่อสนองความต้องการบริโภคพิซซ่า ทำให้ทางพิซซ่า ทูเดย์ วางแผนขยายจำนวนคีออสขนาดเล็กตามร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ แหล่งชุมชน และสถานศึกษาต่างๆ เน้นการจำหน่ายเป็นชิ้น เพื่อให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงพิซซ่ามากขึ้น โดยเฉพาะตามต่างจังหวัด เชื่อจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า
“จากช่องโหว่ของการบริโภคพิซซ่า ของคนไทย ที่ปัจจุบันมีราคาแพง หากจะคิดจะรับประทานเพียงชิ้นเดียว ก็ต้องเลี่ยงไปซื้อพิซซ่าตามร้านสะดวกซื้อ หรือแช่แข็ง ทำให้ไม่ได้รสชาติพิซซ่า ที่อบใหม่น่ารับประทาน ดังนั้นในเมื่อเราเป็นผู้ผลิตพิซซ่าที่มีคุณภาพรายหนึ่งของไทย ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบคีออส แบรนด์ และตัวสินค้า ให้มีราคาถูกลง แต่ยังคงคุณภาพความสดใหม่ของวัตถุดิบ รวมถึงโรงงานได้รับมาตรฐาน GMP จึงได้ผลิตพิซซ่าขนาด 1 ชิ้น รองรับตลาดกลุ่มผู้บริโภคที่กำลังเติบโตอย่างในขณะนี้”
นอกจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้า และรูปลักษณ์ของคีออส ขึ้นใหม่แล้ ทางพิซซ่า ทูเดย์ ยังได้กระตุ้นการซื้อของผู้บริโภค ด้วยการจับมือกับ 2 พันธมิตรด้านอาหารยักษ์ใหญ่ของไทย เพื่อช่วยในการเพิ่มรายการสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น คือ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ที่ร่วมมือกันมากว่า 10 ปี และบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ซึ่งเป็นพันธมิตรรายล่าสุดของพิซซ่า ทูเดย์
“จากพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่ต้องการความครบถ้วนการในการรับประทานอาหารใน 1 มื้อ ที่นอกจากอาหารจานหลักแล้ว จำเป็นต้องมีของหวาน และน้ำดื่ม เพื่ออรรถรสในการรับประทานอาหาร ซึ่งต่อไปเราจะจัดโปรโมชั่นให้กับลูกค้าในการซื้อพิซซ่า พ่วงเป๊ปซี่ และไอศกรีมเนสท์เล่ เข้าไปด้วย ซึ่งเราตั้งใจ”
สำหรับการลงทุนในรูปแบบแฟรนไชส์แบ่งออกเป็น 1 ประเภท คือ รูปแบบคีออส งบประมาณการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 1,500,000 บาท (ทำเลในโมเดิร์นเทรด เช่น โลตัส คาร์ฟู บิ๊กซี โดยพื้นที่ประมาณ 15 ตารางเมตร) รวมค่าแฟรนไชส์ฟีและระบบแฟรนไชส์, ค่าออกแบบ, ค่าตกแต่ง และค่าอุปกรณ์ ส่วนรูปแบบ Stand Alone ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ปั๊มน้ำมัน โรงเรียน มหาวิทยาลัย ย่านชุมชน รถไฟฟ้า อาคารสำนักงาน ลงทุนประมาณ 1,300,000 บาท ตั้งเป้าขยายสาขา 20 สาขา ภายใน 5 ปี รวมถึงมีแผนที่จะนำธุรกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นการขยายธุรกิจจะมีการขยายไปในทุกๆ จังหวัด และจะมีการขายมาสเตอร์ แฟรนไชส์ ให้กับบุคคลที่มีความเหมาะสม ซึ่งทางบริษัทมีนโยบายขายแฟรนไชส์แบบแบ่งเขตอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดการแย่งตลาด และการทับซ้อนระหว่างแฟรนไชส์ของบริษัทกันเอง โดยให้ความสำคัญกับการทำยอดขายและการสร้างกำไรให้กับแฟรนไชส์ เป็นสำคัญ เพื่อให้แฟรนไชส์ซีมีความเชื่อมั่นในการลงทุนกับแฟรนไชส์ พิซซ่า ทูเดย์
*** 0-2978-8665, หรือ 081-842-9964***