xs
xsm
sm
md
lg

น้ำพริกเมืองชล “ป้าแว่น” ฝีมือชาวบ้านขึ้นห้างไฮโซ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“น้ำพริกป้าแว่น” น้ำพริกสมุนไพรเจ้าดังจากจังหวัดชลบุรี สร้างชื่ออยู่คู่คนไทยมากว่า 10 ปี จากจุดเล็กๆ ด้วยรสชาติอร่อย แล้วพัฒนาสินค้าได้มาตรฐาน จนสามารถก้าวสู่ห้างสรรพสินค้า และไม่นานมาถึงได้โอกาสโชว์ฝีมือให้ลูกค้าชาวกรุงฯ ได้ลิ้มรส ในห้างระดับหรู อย่างสยามพารากอน

น้ำพริกป้าแว่น ถือเป็นอีกหนึ่งสินค้าขึ้นหน้าขึ้นตาของ จ.ชลบุรี มีรางวัลโอทอประดับ 5 ดาวเป็นเครื่องการันตีคุณภาพ โดยเจ้าของกิจการดังกล่าว คือ “บังอร วันน้อย” หรือ “ป้าแว่น” ประธานกลุ่มอาชีพน้ำพริกปรุงรส ตำบลท่าบุญมี กิ่งอำเภอเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี วัย 51 ปี

ป้าแว่น เล่าให้ฟังว่า เดิมเป็นเกษตรกร ทำนา เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู เหมือนกับชาวบ้านทั่วๆ ไป ทว่า ไม่ประสบความสำเร็จ จึงลองเปลี่ยนมาตำน้ำพริกขาย เมื่อปี 2540 เพราะส่วนตัวเคยเป็นแม่ค้าขายน้ำพริกมาก่อน ผลตอบรับกลับมาดี ฝีมือน้ำพริกของป้าแว่น เริ่มเป็นที่รู้จักจากปากสู่ปาก ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ

แม้ป้าแว่นจะเป็นชาวบ้านระดับรากแก้ว การศึกษาไม่สูงมาก แต่หากได้ลองพูดคุยกับผู้หญิงคนนี้จะสัมผัสได้ถึงความเป็นคนมุ่งมั่น ใฝ่รู้ พยายามที่จะพัฒนาตัวเองไม่หยุด ดูได้จากที่เมื่อปี 2545 ป้าแว่นได้ตั้งกลุ่มอาชีพน้ำพริกปรุงรสขึ้น มีสมาชิกประมาณ 36 คน ส่งน้ำพริกเข้าประกวดสินค้าโอทอป โดยพัฒนาสินค้าให้ได้ทั้งรสชาติอร่อย และไม่ละเลยเรื่องมาตรฐานการผลิต และบรรจุภัณฑ์สวยงาม ซึ่งมักเป็นปัญหาของผู้ผลิตระดับชุมชนทั่วไป แต่ป้าแว่นตระหนักเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ทำให้ได้รับรางวัลโอทอป 5 ดาวเป็นคนแรกในจังหวัดชลบุรี จากกรมพัฒนาชุมชน ในปี 2546-2547 และได้ติดต่อมา 2 ครั้ง รวมแล้วได้โอทอป 5 ดาว 3 สมัยซ้อน

หญิง วัย 51 ปี เล่าให้ฟังต่อว่า เมื่อได้โอทอป 5 ดาวแล้ว คิดจะบุกตลาดอย่างจริงจัง อยากขายในห้างสรรพสินค้า จึงลองไปเสนอตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ด้วยตัวเอง ทำให้ได้วางขายในห้างแมคโคร ทุกสาขาทั่วประเทศ อีกทั้ง ยังทำตลาดฝากขายในร้านค้าเครือสหพัฒน์ รวมถึงในโรงแรมแอมบาร์เดอร์ด้วย

ส่วนการเข้าไปขายในห้างสยามพารากอนนั้น อาจกล่าวได้ว่า เพราะสถานการณ์พาไป เนื่องจากทางกลุ่มฯ ได้คิดพัฒนาสินค้าใหม่ ทำเป็นน้ำพริกผงบรรจุซอง แบรนด์ “ป้าแว่น” หวังวางขายตามห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อทั่วไป จึงได้ลองนำสินค้าเครื่องแกงผง เสนอฝ่ายจัดซื้อของห้างเดอะมอลล์ โดยแทนที่ทางห้างฯ จะแค่ให้วางสินค้าขาย กลับให้โอกาสมากกว่านั้น เสนอพื้นให้มาเปิดร้านขายในส่วนซูเปอร์มาร์เกตของสยามพารากอน ศูนย์การค้าที่ใหญ่สุดในประเทศ โดยคิดอัตราค่าเช่า เป็นการหัก 25% จากยอดขาย
ร้านในส่วนซูเปอร์มาร์เกต ในสยามพารากอน
“ตอนแรกป้าก็ลังเล เพราะไม่อยากขึ้นมาอยู่กรุงเทพฯ แต่มาคิดอีกที เราได้โอกาส ซึ่งไม่ใช่ว่าจะได้กันง่ายๆ เลยลองมาขาย ส่วนเหตุผลที่ทางห้างฯ ให้โอกาสป้า ถ้าให้ลองวิเคราะห์เอง ป้าว่า เขาคงเห็นว่า เราเป็นคนตั้งใจจริง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม และคงมั่นใจว่า รสชาติน้ำพริกน่าจะถูกใจผู้ได้ชิม” ป้าแว่น กล่าวและเล่าต่อว่า

เริ่มขายในห้างสยามพารากอน เดือนสิงหาคม 2549 เดือนแรกขายยอดไม่ดีนัก แค่ประมาณเดือนละ 70,000 บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว แทบไม่เหลือกำไรเลย สาเหตุเชื่อว่า มาจากตอนนั้น จ้างพนักงานขาย ซึ่งขาดแรงจูงใจ ทำให้ป้าแว่นต้องลงมาขายด้วยตัวเอง โดยใช้วิธีสาธิตการตำน้ำพริกสดๆ ให้ลูกค้าได้เห็นกระบวนการผลิตอย่างชัดเจน ส่งผลให้ยอดขายแต่ละวันขยับขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อเดือนธันวาคม 2549 ที่ผ่านมา ยอดขายประมาณ 250,000 บาท


น้ำพริกป้าแว่นที่วางขายในสยามพารากอน มีกว่า 32 ชนิด ได้แก่ น้ำพริกมะขาม , น้ำพริกมะม่วง , น้ำพริกไข่ปู , น้ำพริกลงเรือ ฯลฯ แต่ที่ขายดีที่สุด คือ น้ำพริกกุ้งเสียบ นอกจากนั้น ยังมีเครื่องเคียงต่างๆ อย่างปลาทู ปลาสลิด ขายด้วย โดยราคาไม่ได้แพงกว่าท้องตลาดทั่วไป เช่น น้ำพริกกะปิ ขีดละ 14 บาท น้ำพริกแกงป่า ขีดละ 16 บาท น้ำพริกกุ้งจ่อม ขีดละ 20 บาท เป็นต้น โดยกลุ่มลูกค้ามีทั้งชาวไทย และต่างประเทศ โดยเฉพาะบรรดาแม่บ้านมีฐานะ ถือเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ ขาประจำมาซื้อหาแทบทุกวัน

ป้าแว่น อธิบายถึงเคล็ดลับความอร่อยของน้ำพริก คือ ใช้วัตถุดิบสดใหม่ ไม่มีสารเคมี ทุกอย่างต้องเป็นของแท้ นำมาจาก จ.ชลบุรี รสชาติกลมกล่อม เผ็ดกำลังดี ส่วนผสมแต่ละชนิดต้องคงตัว ไม่มากหรือน้อยเกินไป การตำต้องมีสมาธิแน่วแน่ และที่สำคัญจะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่จะปรุงแต่งผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาเสมอๆ

เมื่อถามถึงยอดขายน้ำพริกทั้งหมดทุกแห่งนั้น ป้าแว่น เผยว่า ต่อเดือนประมาณ 10 ตัน หรือคิดเป็นตัวเงินยังไม่หักค่าใช้จ่ายประมาณ 500,000 บาท แต่ปัญหาที่กำลังประสบคือ ทางห้างแมคโคร ต้องการให้ส่งพนักงานขายไปประจำทุกสาขา ทำให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้นอีกกว่าเดือนละหลายหมื่นบาท

นอกจากนั้น ยังมีปัญหาการผลิตไม่สามารถตอบรับตลาดได้มากพอ เพราะขาดเงินทุนขยายธุรกิจ เนื่องจากปัจจุบัน มีหลายห้างสรรพสินค้า ต้องการให้นำน้ำพริกป้าแว่นเข้าไปวางขาย แต่การผลิตยังไม่พร้อม เครื่องจักรที่ใช้อยู่ ศักยภาพยังไม่ได้ตามต้องการ จึงพยายามติดต่อสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง เพื่อขอกู้เงินจำนวน 15 ล้านบาท สำหรับก่อสร้างโรงงานผลิต จัดซื้อเครื่องจักรใหม่ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน ถ้าได้รับอนุมัติเงินก้อนนี้มา เชื่อว่าจะขยายตลาดได้อีกมาก

อีกประการที่ต้องการขณะนี้ คือ อยากให้บริษัทเอกชนรายใหญ่ หรือผู้เชี่ยวชาญมาช่วยต่อยอดด้านการตลาดให้แก่สินค้าชุมชนอย่างน้ำพริกป้าแว่นด้วย เพราะยอมรับว่า จุดอ่อนที่ผ่านมาของกลุ่มฯ คือ ขาดการวางแผนการตลาดที่ถูกต้อง อาศัยแต่ความตั้งใจ และพยายาม การเติบโตจึงทำได้แค่ระดับหนึ่ง

“ป้ายอมรับถึงแม้จะพยายามแค่ไหน แต่เราก็เป็นแค่ชาวบ้าน การตลาดเราทำได้แค่ระดับหนึ่ง ป้าเลยอยากให้เอกชนรายใหญ่มาต่อยอดภูมิปัญญาชาวบ้าน ช่วยทำตลาด หรือจัดจำหน่ายให้ ส่วนกลุ่มชาวบ้านจะได้เป็นทำงานฝ่ายผลิตอย่างที่ถนัด” ประธานกลุ่มอาชีพน้ำพริกปรุงรส ระบุ

ป้าแว่น ทิ้งท้ายถึงความหวังในอนาคต แบ่งเป็น 2 ด้าน คือ 1. ด้านการตลาด อยากจะเพิ่มจุดขายให้กระจายไปในห้างสรรพสินค้าต่างๆ มากยิ่งขึ้น รวมถึง อยากบรรจุน้ำพริกเป็นกระปุกวางขายในร้านสะดวกซื้อ และอยากให้สินค้าก้าวไปสู่ตลาดต่างประเทศ และ 2. ด้านของชุมชน อยากให้น้ำพริกป้าแว่นมีส่วนช่วยให้บ้านเกิดใน จ.ชลบุรี พัฒนาเป็นชุมชนเข้มแข็ง ทั้งด้านเป็นแหล่งสร้างอาชีพ และเป็นแหล่งศึกษาดูงาน เพื่อการพัฒนาอาชีพ เป็นต้น

**08-1590-3305**
กำลังโหลดความคิดเห็น