“โฆสิต” ปิดทางแจ้งเกิดโครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่นเฟส 2 ที่มีการเสนอของบอีกถึง 1,500 ล้านบาทไม่บรรจุในงบประมาณปี 2550 โยนหากโครงการใดดีจะสานต่อให้ไปเสนองบถัดไป ส่วนเฟสแรกที่เหลือ 2 โครงการย่อยจาก 9 โครงการให้ทำต่อ เผยโครงการนี้ถลุงกันไปกว่า 1,300 ล้านบาทท่ามกลางคำถามว่าคุ้มค่าหรือไม่ ส่วนโครงการครัวไทยสู่ครัวโลกจะดูเฉพาะด้านมาตรฐาน
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎร์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงโครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่นว่า ขณะนี้ได้ตัดสินใจด้านนโยบายที่จะไม่ดำเนินงานโครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่นในเฟส 2 อีกต่อไป ส่วนเฟสแรกที่มีการดำเนินงานทั้งหมด 9 โครงการย่อยที่ดำเนินการเสร็จไปแล้ว 7 โครงการเหลือเพียง 2 โครงการคือโครงการเจาะตลาดเป้าหมาย โครงการเพิ่มขีดความสามารถในสาขาอุตสาหกรรมเครื่องหนังและรองเท้าก็ให้ดำเนินการให้จบต่อไป
สำหรับโครงการครัวไทยสู่ครัวโลกขอเวลาพิจารณารายละเอียดก่อนเนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นการสร้างภาพพจน์ที่ดีของไทยแต่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน โดยในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมน่าจะเป็นเพียงหน่วยงานหนึ่งในการสนับสนุนและให้ภารกิจตรงกับเป้าหมายของกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยเรื่องมาตรฐานเท่านั้น ดังนั้นคงต้องหารือกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น
นายโฆสิตยังได้กล่าวถึงการหารือกับม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังว่า ไม่ได้หารือถึงประเด็นเกี่ยวกับงบประมาณด้านกรุงเทพเมืองแฟชั่นแต่เป็นการหารือด้านงบประมาณโดยรวมมากกว่าและมีหลายเรื่องที่หารือเพื่อให้การทำงานมีเป้าหมายที่สอดคล้องกัน ส่วนกรณีที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้นถือเป็นภารกิจสำคัญที่อุตสาหกรรมจะต้องเร่งพัฒนาประสิทธิภาพเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อที่จะรองรับการแข่งขันหากไม่ปรับตัวต่อไปจะลำบาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่นที่ผ่านมามีความพยายามผลักดันให้เกิดเฟส 2 ที่จะใช้เงินงบประมาณ 1,500 ล้านบาทเพื่อสานต่อเฟสแรกที่ได้ของบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐรวม 1,800 ล้านบาทแต่ต่อมานายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาลที่เข้ามาเป็นรมว.อุตสาหกรรมได้ตัดงบลง 10% ทำให้ใช้งบจริงประมาณ 1,300 กว่าล้านบาท ท่ามกลางความกังขาของประชาชนว่าโครงการดังกล่าวมีความคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งโครงการเฟสแรกประกอบด้วย 11 โครงการหลักแต่ไม่ได้ดำเนินการไป 2 โครงการคือ การประกวดออกแบบแฟชั่นนานาชาติ และการสร้างแนวโน้มแฟชั่นโลกเพราะจัดจ้างเอกชนดำเนินการไม่ได้จึงเหลือ 9 โครงการที่ประกอบด้วย
1)โครงการศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านแฟชั่น งบประมาณ 264 ล้านบาท จ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้บริหารโครงการ 2)ศูนย์รวบรวมแนวโน้มแฟชั่นโลก งบ 47 ล้านบาท จ้างบริษัท พิมพลัส พีอาร์ จำกัด บริหาร 3)โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งธุรกิจแฟชั่นสาขาอุตสากรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม งบ 181 ล้านบาท สถาบันเทคโนโลยี เป็นผู้บริหาร 4)โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันธุรกิจแฟชั่นสาขาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ งบ 99 ล้านบาท จ้างมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรบริหาร
5)โครงการจัดงานแสดงสินค้า งบประมาณ 350 ล้านบาท จ้างบริษัท เอวีโปรเจคท์ จำกัด เป็นผู้บริหาร 6)โครงการรวบรวมผลงานแฟชั่นนักออกแบบไทย งบ 60 ล้านบาท จ้างบริษัท ทีทีไอเอส จำกัด และ7) โครงการสร้างภาพลักษณ์กรุงเทพเมืองแฟชั่น งบ 141 ล้านบาท จ้างบริษัท เดนท์สุประเทศไทย บริหาร
ส่วนอีก 2 โครงการที่สิ้นสุดในปี 2550 คือ 8. )โครงการเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันธุรกิจแฟชั่นสาขาอุตสาหกรรมรองเท้าและเครื่องหนัง งบ 150 ล้านบาท จัดจ้างให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือเป็นผู้บริหารโครงการ ครบกำหนดเวลาเดือนกุมภาพันธ์ 2550 และ 9.)โครงการเจาะตลาดเป้าหมาย งบประมาณ 186 ล้านบาท จัดจ้างบริษัท เจ เอส แอล จำกัด บริหารโครงการ สิ้นสุดโครงการเดือนเมษายน 2550