ผู้ผ่านไปมาตลาดนัดสวนจตุจักร บริเวณตรงข้ามตลาด อตก. อาจเคยสะดุดตากับร้านขายของเก่า “ถมทอง” มาบ้าง ด้วยการตกแต่งแบบเรียบง่าย แต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดึงดูดให้ต้องหยุดมอง แม้ไม่ใช่เซียนของเก่าก็ตาม และยิ่งบวกกับความรู้จริงในการอธิบายที่มาที่ไปสินค้าแต่ละชิ้นได้ลึกซึ้งจากเจ้าของร้าน เสริมให้ร้านนี้ยิ่งน่าสนใจเพิ่มขึ้น
“ขายของเก่า ก็เหมือนเล่านิทาน” อัษฏางค์ พูลเกษร เจ้าของร้าน “ถมทอง” อธิบายคุณสมบัติที่จำเป็นของคนทำอาชีพนี้ “ผมว่า เสน่ห์ของของเก่า คือ เป็นตัวแทนเก็บบันทึกความทรงจำในอดีต แต่ละคน ก็จะแตกกันไป เมื่อมาเห็นสิ่งของที่เคยมีประสบการณ์ร่วม ก็อยากซื้อเก็บไว้ ซึ่งคนขาย ต้องอธิบายได้ถึงรายละเอียดของสินค้าชิ้นนั้นๆได้ เพื่อให้ผู้ซื้อได้ย้อนถึงวันวานที่เขาประทับใจ”
จุดเริ่มต้นในการเปิดร้านนั้น เรียกได้ว่า เป็นความบังเอิญ เจ้าตัวเล่าว่า ก่อนหน้านี้ ตั้งใจเปิดร้านอาหาร โดยนำของเก่าที่เก็บสะสมไว้ใช้แต่งร้าน แต่ระหว่างรอความพร้อมเปิดร้านอาหาร คนที่ผ่านไปมา เห็นของเก่าที่ใช้แต่งร้าน แล้วสนใจเข้ามาซื้อต่อเนื่อง กลายเป็นจากจะเปิดร้านอาหาร เลยได้เปิดร้านขายของเก่าแทน
สินค้าภายในร้านมีจำนวนเป็นพันๆ ชิ้น อายุตั้งแต่หลักสิบปี ถึงหลายร้อยปี โดยแหล่งที่มา มีทั้งคนมาเสนอขายต่อให้ ไปหาซื้อด้วยตัวเองตามบ้านเก่าๆ หรือสรรหาตามแหล่งขายของเก่า อาทิ ท่าพระจันทร์ คลองถม ฯลฯ โดยเกณฑ์ในการคัดเลือกสินค้าเข้าร้าน อาศัยประสบการณ์ส่วนตัว ที่คลุกคลีในวงการนี้ มานานพอสมควร
ราคาสินค้า มีตั้งแต่หลักร้อยสำหรับชิ้นเล็กๆ อาทิ แก้ว ปิ่นโตสังกะสี ของเล่นโบราณ ฯลฯ กระทั่งถึงหลักหมื่น อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้าโบราณ ภาชนะสมัย ร.5 ภาพเขียนโบราณ ฯลฯ หลักในการตั้งราคาขาย วัดจากความหายาก ความเก่าแก่ สภาพสินค้า และราคาจริงที่ซื้อขายกันอยู่ในท้องตลาด
ด้วยรูปแบบการแต่งร้านสวยเด่น ทำให้มักมีสถาปนิก หรือนิตยสารแต่งบ้าน เข้ามาเยี่ยมเยือนเป็นประจำ และเมื่อรู้ถึงภูมิหลังเจ้าของร้าน ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะเคยร่ำเรียนด้านจิตรกรรม จากสถาบันการศึกษาชื่อดังแห่งหนึ่ง
“ผมพยายามแต่งร้านให้น่าสนใจ และมีสินค้าหลากหลายชนิดมากที่สุด เพราะแต่ละคนมีความผูกพันต่างกัน บางคนไม่เคยสนใจของเก่าเลย แต่พอมาเจอของที่เขาประทับใจ กลายเป็นจุดประกายให้เขาหันมาสนใจศึกษาของเก่าชิ้นอื่นๆ ตามมาอีก” อัษฏางค์ กล่าวถึงความพิเศษที่เป็นจุดขายของร้าน และระบุต่อด้วยว่า ความรู้ และความซื่อสัตย์ เป็นอีกสิ่งสำคัญยิ่งของอาชีพนี้
“ถ้าลูกค้ามาซื้อของร้านเรา แล้วได้ของปลอม หรือโดนโก่งราคา ชื่อเสียงร้านจะเสียทันที เขาจะซื้อแค่ครั้งเดียวแล้วไม่มาอีกเลย ซึ่งผมเป็นคนเล่นของเก่ามาก่อน รู้หัวอกดี ผมจึงพยายามเน้นให้ความรู้แก่ลูกค้า ไม่ซื้อ ก็ไม่เป็นไร แค่ได้พูดคุยกัน ก็เป็นความสุขของคนเล่นของเก่า ที่ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน”
ด้วยแนวคิดบริหารร้านเช่นนี้ กลุ่มลูกค้าของ “ถมทอง” มากกว่า 50% จึงเป็นขาประจำ ส่วนใหญ่เป็นวัยผู้ใหญ่ ฐานะค่อนข้างดี มักซื้อไปเก็บเป็นของสะสมส่วนตัว นอกจากนั้น กลุ่มลูกค้าอื่นๆ อาทิ ร้านอาหาร สำนักงาน และสถาปนิก ที่จะซื้อไปประดับตกแต่งสถานที่
ร้านนี้ เปิดมาได้ประมาณ 2 ปีแล้ว จากเริ่มแรกมีเพียงคูหาเดียว ปัจจุบันขยายรวมแล้วมีถึง 10 คูหา โดยเจ้าของร้าน บอกว่า ใช้ทุนเริ่มต้นเพียงประมาณ 7,000 กว่าบาทสำหรับเป็นค่าเช่า ส่วนสินค้าในร้านเริ่มต้นเป็นของสะสมส่วนตัว รายได้ที่ผ่านมาสูงขึ้นตามลำดับ นับถึงวันนี้ เฉลี่ยยังไม่หักค่าใช้จ่ายอยู่ที่หลักแสนต่อเดือน
ทั้งนี้ ปัญหาของธุรกิจ เกิดจากบางช่วงไม่สามารถหาของเก่าชิ้นใหม่ๆ มาเข้าร้านทดแทนชิ้นที่ขายไปได้ การแก้ไข ต้องพยายามนำเสนอลูกค้าให้ลองสนใจของเก่าชนิดอื่นๆ และพยายามเสาะแสวงหาสินค้ามาเติมเข้าร้านให้ได้เพิ่มขึ้น
นอกจากนั้น ปัญหาอีกด้าน เกิดจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว การตัดสินใช้จ่ายเงินผ่านการไตร่ตรองมากขึ้น ทำให้กลุ่มลูกค้าขาจร หายไปมากกว่า 40% อย่างไรก็ตาม เนื่องจากร้านมีลูกค้าประจำอยู่เป็นฐานหลัก ทำให้ยังสามารถประคองธุรกิจอยู่ได้ แต่หากแนวโน้มเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้นเป็นระยะเวลานาน อาจต้องพึ่งสถาบันการเงินในการเพิ่มสถานคล่องทางการเงิน
“ของเก่าเป็นความสุขทางใจ บางคนก็มองว่า เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้ กระทบยอดขายแน่นอน ผมจึงพยายามรักษาลูกค้าประจำไว้ และผมเชื่อว่า คนรักของเก่า อย่างไรเสีย ก็ยังอยากได้ของที่ประทับใจ ไว้เติมความฝันของตัวเองต่อเนื่อง”