๐ เมื่อความเป็นเถ้าแก่อยู่ในสายเลือด บวกประสบการณ์และความเชื่อมั่น การสร้างปรากฎการณ์ใหม่ในธุรกิจย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
๐ ทายาท "พันท้ายนรสิงห์" หนึ่งในผู้นำธุรกิจซอสปรุงรส ผู้บุกเบิกตลาดอเมริกาในยุคเริ่มต้น ฉายภาพโอกาสใหม่ในธุรกิจที่สามารถครอบคลุมตลาดโลก
๐ การผนึกจุดแข็งควบจังหวะเหมาะ กับการมองอนาคตด้วยมุมมองที่กว้างไกล ก่อเกิดธุรกิจใหม่ในสายอาหารและเครื่องดื่ม อิงกระแสสุขภาพและความทันสมัย
๐ เผยวิธีคิดสร้างสินค้าใหม่ เบื้องหลังการทุ่มทุน 200 ล้านบาทตั้งฐานผลิตในไทย และทำไมต้องเทียบชั้นอันดับหนึ่งในตลาด?

มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ไปลุยสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยการเป็นเจ้าของกิจการอยู่ในต่างประเทศ
หลากหลายธุรกิจ หลากหลายรูปแบบ สารพัดหนทาง ทั้งสำเร็จ ล้มเหลว และยังไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย
"สุรชัย วัฒนาพร" เป็นหนึ่งในนั้น เมื่อกว่า 30 ปีก่อน ลูกชายคนที่ 2 ของเจ้าของซอสปรุงรส “ตราพันท้ายนรสิงห์” รับหน้าที่ไปขยายตลาดเครื่องปรุงรสของครอบครัวในสหรัฐอเมริกา และต่อมาก็ลงทุนทำธุรกิจของตนเอง ด้วยการตั้งโรงงานผลิตเครื่องดื่ม “ตราพันท้ายนรสิงห์” นอกเหนือจากจะดูแลธุรกิจกงสี และเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าไทยที่ต้องการเข้าไปเติบโตในอเมริกา
เมื่อโอกาสข้างหน้าเปิดกว้าง เขาจึงไม่หยุดอยู่แค่นั้น ล่าสุด สุรชัย หันมาตั้งฐานในไทย ด้วยการสร้างโรงงานที่ทันสมัยและได้มาตรฐานระดับสากลเพื่อผลิตเครื่องดื่ม พร้อมกับวางเป้าหมายและเตรียมแผนการที่จะเติบโตในธุรกิจอาหารอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยความคิดที่มองไปข้างหน้าอย่างเถ้าแก่ที่มีประสบการณ์

๐ บินตรงจากอเมริกา ตั้งฐานผลิตในไทย
สุรชัย วัฒนาพร ประธาน บริษัท เนอร์วาน่า ฟูดส์ แอนด์ คอมเมิซ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ถ่ายทอดความคิดและเรื่องราวธุรกิจใหม่ของเขา ว่า หลังจากไปบุกเบิกสินค้าเครื่องปรุงรสในตลาดอเมริกาให้ตราพันท้ายนรสิงห์ของครอบครัวจนมีชื่อเสียงในอเมริกาแล้ว
ในระหว่างนั้น ได้ลงทุนธุรกิจของตนเองด้วยการสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่ม และจำหน่ายในชื่อพันท้ายนรสิงห์ ทำตลาดมาถึง 15 ปี สินค้าที่ขายดีที่สุด คือ ชาไทย (ชานม) และกาแฟไทย ซึ่งมีชื่อเสียงและขายมากเป็นอันดับหนึ่งในตลาด เน้นชาวตะวันออกที่อยู่ในอเมริกาเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก
เขาให้เหตุผลว่า การไม่ขยายการผลิตในอเมริกา แต่กลับหันเข้ามาลงทุนกว่า 200 ล้านบาท ตั้งฐานการผลิตในไทยนั้น มาจากอุปสรรคเรื่องการกีดกันทางการค้าจากประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยุโรปหรือเอเชีย ซึ่งไม่ต้องการให้สินค้าจากอเมริกาเข้าไปในประเทศของตนได้ง่ายๆ ในขณะที่หากเป็นสินค้าจากไทยจะสามารถนำเข้าไปในประเทศต่างๆได้ง่ายกว่า
ที่สำคัญ คือ การเป็นแหล่งวัตถุดิบ และตัวสินค้าซึ่งมีรากฐานความเป็นไทยมานานหลายสิบปีแล้ว เพียงแต่นำมาสร้างความต้องการของตลาดให้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ตัดสินใจ โรงงานซึ่งเดินเครื่องผลิตไปแล้วบางส่วนจะเสร็จสมบูรณ์ในปลายปีนี้ โดยมีความพร้อมทั้งมาตรฐานด้านคุณภาพโรงงานที่ได้รับการรับรอง GMP, HACCP และHALAL และการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ
"สินค้าที่เราเลือกผลิตเป็นของที่มีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยากคือ คุณภาพที่ต้องทำให้ได้มาตรฐาน สำหรับเครื่องดื่มที่ผสมนมแล้วจะทำให้มันเป็นเนื้อเดียวกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เรื่องง่าย มีบางบริษัทเท่านั้นที่ทำได้ เช่น เนสท์เล่ , อายิโนะโมะโตะ(เบอร์ดี้) แต่เราทำได้เหมือนกันเพราะมีโนว์ฮาว รวมกับการทำให้รูปลักษณ์ของสินค้าดูเป็นของสมัยใหม่ ทำให้เราแข่งขันได้"
"เริ่มแรกเราจะทำให้ลูกค้าซื้อเพราะรูปลักษณ์การดีไซน์สินค้า แต่จะให้กลับมาซื้อซ้ำด้วยคุณภาพของสินค้า ทั้งสองส่วนนี้จะทำควบคู่กัน อย่างไรก็ตาม ก่อนผลิตเราศึกษาตลาดมาพอสมควรแล้วว่าลูกค้ายอมรับหรือไม่ยอมรับในจุดใดบ้าง ขณะเดียวกันเราพิถีพิถันในการทำสินค้ามากทุกขั้นตอน" สุรชัย อธิบายแนวทางสร้างสินค้าใหม่
โรงงานซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดนครปฐมแห่งนี้ พื้นที่โครงการออกแบบมา ผสมผสานความพอดีระหว่างโรงงานกับศิลปะแบบไทยๆ โดยมีการวางแปลนให้เหมาะสมทั้งการใช้งานทุกส่วน มีโรงงานผลิต และบรรจุ ระบบบำบัดน้ำเสีย และสระน้ำ 70ไร่ ซึ่งอนาคตสามารถใช้เป็นแหล่งน้ำให้กับโรงงานและมีความสวยงามด้วยอาคารไม้สไตล์ล้านนาที่ประยุกต์ให้ทันสมัย เพื่อให้บรรยากาศสบายๆ เหมาะสำหรับทั้งพนักงานที่อยู่ประจำ กับผู้ที่ไปเยี่ยมชม
๐ คลอดแบรนด์ "Taste Nirvana" ลุยตลาดโลก
แม้ว่าโรงงานจะเสร็จสมบูรณ์ในปลายปีนี้ แต่ปัจจุบันโรงงานเดินเครื่องผลิตไปแล้ว เพื่อรองรับตลาดที่มีความต้องการอยู่แล้ว
ทั้งนี้ สถานการณ์ตลาดเครื่องดื่มกำลังเติบโตมาก เนื่องจากกำแพงด้านการค้าเริ่มน้อยลงและหมดไป เช่นเดียวกับพฤติกรรมการบริโภคที่มีความเป็นสากลมากขึ้น ประกอบกับคนในหลายประเทศมีความมั่งคั่งมากขึ้น และพิถีพิถันกับความเป็นอยู่
สำหรับสินค้าประเภทชาและกาแฟที่พร้อมจะผลิตและจำหน่าย ประกอบด้วย ชาไทย กาแฟไทย ชาเขียวผสมนม น้ำมะพร้าว น้ำตะไคร้ และเครื่องดื่มใบหม่อนผสมดอกมะลิ ในชื่อ Taste Nirvana นอกจากนี้ ยังมี เครื่องดื่มประเภท Function Energy 4 ชนิด ในชื่อต่างๆ กัน ได้แก่ Black O-pium , Dark Scorpion , N-Tidote และ 4 play
สุรชัย บอกว่า Nirvana แปลว่า The highest stage of being. ซึ่ง Taste Nirvana ก็คือ การได้ลิ้มรสสิ่งที่ดีที่สุดที่มีอยู่ โลโก้จากมากรูปเทวดา ส่วนรูปทรงขวดแก้วมาจากรูปร่างผู้หญิง
"เราไม่ได้ทำชาหรือกาแฟไปแข่งกับเนสท์เล่ แต่เราทำชาไทย และกาแฟไทยไปป้อนตลาดโลก เรามีของดีมีคุณภาพอยู่แล้ว แต่เราจะแนะนำสินค้าเราให้เขาใช้ได้อย่างไร สินค้าเราไม่ทิ้งราก และนำเสนอในรูปลักษณ์สากล เป็นพรีเมี่ยม และขายในราคาพอประมาณ"
"วันนี้เราเริ่มส่งออกไปสหรัฐฯ เป้าหมายอันดับหนึ่งเพราะตลาดมีความพร้อมทั้งกำลังซื้อ และความต้องการสินค้า ชาไทยที่เราผลิตในอเมริกาใช้นอนแดรี่ครีมเมอร์ แต่ชาไทยที่ผลิตในไทยเราใช้นมเป็นส่วนประกอบ คือสูตรและรูปลักษณ์สินค้าต่างกัน เข้าไปในตลาดที่ต่างกัน เดิมเป็นตลาดทั่วไป แต่ของใหม่เป็นอีกตลาด อย่างไรก็ตาม เราได้เปรียบนิดหนึ่งตรงที่มีออฟฟิศสามารถดำเนินการได้สะดวก และเมื่อสินค้าเข้าอเมริกาได้ก็สามารถผ่านเข้าอีกหลายประเทศได้ง่าย เช่น สิงคโปร์"
ทั้งนี้ ในอเมริกามีซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆ มากมาย เช่น Saveway และเริ่มมีซูเปอร์มาร์เก็ตที่เรียกว่า ซีเล็คมาร์เก็ต เป็นสินค้าที่คัดสรรมาอย่างดี เช่น Whole Food, HEB และ Wildoat ซึ่งขณะนี้สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน เริ่มมีมากขึ้น
"จริงอยู่สินค้าที่เราทำมีความเป็นไทย แต่ก็มีความเป็นสากลอยู่ในตัวด้วย สามารถขยายตลาดไปได้ทั่วโลก นอกจากกาแฟ กับชา ยังมีน้ำมะพร้าว ซึ่งคนไทยกินมานานแล้วแต่วิธีการกินไม่สะดวก เพราะฉะนั้นจึงเลือกขายความสะดวกและรูปลักษณ์ให้ผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ตลาดโลก โดยการสร้างแบรนด์ Taste Nirvana ขึ้นมา ในกลุ่ม Nirvana Foods"
อย่างไรก็ตาม การทำตลาดแยกเป็น 2 ส่วน คือ ตลาดที่มีความมั่งคั่งแล้ว เป็นเป้าหมายหลัก เช่น อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ กับตลาดที่กำลังเริ่มเติบโต เช่น จีน และอินเดีย เป็นตลาดที่เริ่มจับจ่ายได้มากขึ้น เป็นเป้าหมายรอง
"แต่ญี่ปุ่นอาจจะเข้ายากนิดนึงเพราะมีกฎระเบียบกีดกันมาขายของเก่งแต่ซื้อยาก ส่วนอเมริกาขายเก่งซื้อง่าย ซึ่งข้อได้เปรียบของไทยอยู่ที่รสชาติกลมกล่อม มีหลายรส และอาหารไทยไปเผยแพร่มานาน แม้ว่าคนอื่นจะผลิตสินค้าประเภทนี้ได้ แต่เราผลิตได้ก่อน ด้วยคุณภาพที่ดี และราคาแข่งขันได้"
ตามแผนการ เครื่องดื่มที่ผลิตในไทยจะมีการส่งออกอยู่ในสัดส่วน 80% ที่เหลือ 20% เป็นการทำตลาดในประเทศไทย โรงงานที่ตั้งขึ้นมาเพื่อผลิตเครื่องดื่มประมาณ 65% เช่น ชา กาแฟ น้ำสมุนไพร อย่าง น้ำตะไคร้ , ชาใบหม่อน และน้ำมะพร้าว ส่วนที่เหลือ 35% เป็นการผลิตสินค้าอื่น เช่น ภายใน 2 เดือนข้างหน้าจะผลิต น้ำสลัด ซึ่งมีความเป็นสากล แต่มีรากฐานความเป็นไทยอยู่ด้วย
เนื่องจากอาหารไทยมีการเติบโตรวดเร็วและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ดังนั้น บริษัทฯ จึงมุ่งไปที่ธุรกิจเกี่ยวกับการปรุงอาหาร สุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดี
๐ รุกตลาดเครื่องดื่ม ขายความเป็นสากล
"ตอนนี้เครื่องดื่มที่ขายดีที่สุดในตลาดโลก คือ น้ำ เพราะฉะนั้น เมื่อเราออกสินค้าน้ำตะไคร้ แต่การนำเสนอให้บริโภคเป็นน้ำเปล่า จึงทำรสอ่อน เพื่อให้บริโภคได้เรื่อยๆ ไม่นำเสนอในตลาดน้ำสมุนไพรเพราะเซ็กเม้นต์เล็ก แต่น้ำเซ็กเม้นต์ใหญ่มาก หรือชาใบหม่อนผสมมะลิ ถ้าเราสามารถทำให้คนหันมาดื่มแทนน้ำแร่ก็ได้ตลาดใหญ่มหาศาล เราจึงทำให้เป็นธรรมชาติล้วนๆ ไม่ใส่น้ำตาล หรือส่วนประกอบอื่นๆ อยู่ในกลุ่ม All Natural ซึ่งตลาดทั่วโลกยอมรับสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น แม้ว่าคนอื่นจะทำได้แต่ต้องลงทุนเท่าๆ กับเรา"
ตลาดAll Natural Food ใหญ่มาก ส่วนใหญ่วางจำหน่ายกันใน Select Market ซึ่งในยุโรปขยายไปก่อนแต่ในอเมริกาเติบโตเร็วมาก ซึ่งนอกจากสินค้าของ Nirvana จะไปในอเมริกาแล้ว ในไทยยังจะมีวางจำหน่ายที่ท๊อปส์ เอ็มโพเรี่ยม และฟูดแลนด์ ซึ่งมีเป้าหมายที่กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีสินค้าเครื่องดื่มประเภท Functional Energy Drink เช่น N-Tidote , 4 play, Dark Scorpion กับBlack O-pium ซึ่งบริษัทฯ พร้อมที่จะนำออกสู่ตลาดโลก เพราะเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ ในซูเปอร์มาร์เก็ต คอนวีเนี่ยนสโตร์ และ
คลับต่างๆ มีช่องทางให้วางสินค้าในกลุ่มนี้มาก และเชื่อว่าจะแข่งขันได้ทั้งในด้านรูปลักษณ์ รสชาติ และฐานการตลาด

๐ เบนช์มาร์คเบอร์ 1 สตาร์ท "แบบหมูไม่กลัวน้ำร้อน"
เถ้าแก่มากประสบการณ์ อธิบายถึงการที่จะไปสู่ตลาดโลกได้ตามเป้าหมายนั้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ การศึกษาคู่แข่ง
"เราเบนช์มาร์คกับคนที่เป็นเบอร์ 1 เราตั้งเป้าหมายจะเป็นเบอร์ 1 แต่ขณะนี้เราไม่ใช่ แต่เราไม่ได้เบนช์มาร์คว่าจะต้องแข่งกับเขาแล้วเป็นเบอร์ 1 แต่เรากล้ารับประกันว่าสินค้าเราดีที่สุด เราศึกษาคู่ต่อสู้เพื่อดูว่าคุณภาพของเราสู่เนาได้หรือยัง ถ้าไม่ได้ก็ยังไม่ผลิต แต่ถ้าสู่ได้แล้วจึงออกมา เช่น เราศึกษาสตาร์บัคส์ ในการผลิตกาแฟ ส่วนเอเนอร์ยี่ ดริ้ง ยอมรับว่ากระทิงแดงเป็นแบรนด์ที่เก่ง เราพัฒนาสินค้าเพื่อให้ได้สิ่งที่เหนือกว่าก่อน"
หรือน้ำมะพร้าว ก็ใช้การซื้อของทุกแบรนด์มาชิมแล้วทำให้ดีกว่า แล้วเทียบวัดกับน้ำมะพร้าวจากธรรมชาติ เพราะยอดขายที่มากที่สุดของน้ำมะพร้าวคือมะพร้าวน้ำหอมสดๆ ไม่มีการปรุงแต่ง และใช้วิธีถนอมอาหารโดยไม่ใส่สารเคมีเลย
การทำเบนช์มาร์ค์ คือการทำเกณฑ์เฉลี่ยให้ได้ตามตลาดแต่ละประเทศซึ่งต่างกันไป เช่น ตลาดอเมริกาชอบหวานก็ส่งแบบหวานไป ส่วนคนไต้หวันกินหวานน้อยกว่าก็ต้องทำตามที่ลูกค้าต้องการ
"ส่วนชาไทยที่ส่งไปอเมริกาก็เบนช์มาร์คกับชารสชาติเดิมที่มีอยู่ เพื่อวัดความพึงพอใจของลูกค้าให้ได้ ไม่ใช่ว่ากินของเดิมที่มีอยู่แล้วไม่กินของใหม่ สูตรหรือรสชาติต่างกันได้ แต่ความพอใจต้องเท่าเทียมกัน"
เขาย้ำว่า อุปสรรคสำคัญในการทำธุรกิจนี้ อยู่ที่การต้องทำให้ได้คุณภาพเท่าเทียมกันทุกครั้ง ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแต่ต้องเป็นร้อยครั้งที่ทดสอบมาแล้วและต้องทำให้ได้ตลอดไป โดยเฉพาะประเภท All Natural ทำยากมาก เช่น น้ำมะพร้าว น้ำตะไคร้ เพราะผลผลิตของวัตถุดิบที่ได้มาแต่ละครั้งต่างกัน
"หน้าที่เราต้องปรับให้ได้เหมือนกันทุกขวดในแต่ละล็อท สำหรับกลุ่ม All Natural เราไม่ได้ปรับเพื่อปรุงแต่ง แต่เป็นไปตามที่ตลาดยอมรับ เมื่อบริโภคแยกความแตกต่างได้น้อยมาก ต้องวัดด้วยเครื่องมือ อย่างสตาร์บัคส์ไม่มีการเปลี่ยนคนชิมกาแฟง่ายๆ เพื่อจะต้องวัดให้กาแฟที่ทำออกมาได้มาตรฐานเดียวกัน ซึ่งเครื่องมือชิมไม่ได้ทั้งหมด เพราะการปรุงรสเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์"
ในฐานะเถ้าแก่ เขาเปรียบตัวเองเหมือนกับ "หมูไม่กลัวน้ำร้อน" เพราะแม้ว่าจะมีความตั้งใจจริง ความ เชื่อมั่น ความชำนาญ และประสบการณ์ในธุรกิจที่ทำ แต่ก็มีความมั่นใจได้แค่ 80% ส่วนที่เหลือเผื่อไว้สำหรับความผิดพลาด เพราะมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้
๐ เล็งพันธมิตร ตั้งเป้าเข้าตลาดฯ ใน 2 ปี
สุรชัย ชี้ว่า จุดอ่อนเอสเอ็มอีไทยส่วนใหญ่ยังมีความไม่พร้อม เช่น ไม่รู้ว่าตลาดต่างประเทศเขาทำกันอย่างไร แต่เขาอยู่อเมริกามาก่อน แม้ว่าจะไม่รู้ทั้งหมด แต่รู้ว่าสินค้าพวกนนี้ที่ทำออกมาขายได้ในเมืองนอก ซึ่งคนไทยอาจจะยังไม่แน่ใจ
ขณะนี้ ผู้ประกอบการไทยในอเมริกากลุ่มที่ใหญ่ที่สุด คือ ร้านอาหาร เพราะขอแค่บริการดี และโฆษณานิดหน่อย ก็อยู่ได้ในธุรกิจนี้ ทำงานง่าย แต่สินค้าอย่างของเขา ต้องมีระบบและต้องการอะไรหลายอย่างมากกว่า เช่น เงินทุน โนว์ฮาว การทำตลาด แต่เมื่อทำได้แล้วจะไปได้ไกลกว่า
อย่างไรก็ตาม สำหรับโครงการที่เขาวางไว้เมื่อ 3 ปีก่อน กำลังจะได้ออกดอกออกผล กับยอดขายในปีแรกวางไว้ 150 ล้านบาท ปีที่สองเพิ่มเป็น 300 ล้านบาท และปีที่สามเพิ่มเป็น 600 ล้านบาท ซึ่งการตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตได้รวดเร็วขนาดนี้ เถ้าแก่ที่มองการณ์ไกลบอกว่า เป็นเพราะสินค้าที่ทำมีอนาคตไกล มีตลาดขนาดใหญ่รองรับอยู่ และเป็นสินค้าที่มีรากเหง้า ในขณะเดียวกันก็มีรสชาติแบบที่ตลาดสากลยอมรับได้อยู่แล้ว
ดังนั้น จึงตั้งเป้าหมายว่าภายใน 2 ปีข้างหน้า จะนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจาก เห็นความจำเป็นอย่างมากหากต้องการให้ธุรกิจมีความมั่นคงและสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
"ทิศทางที่มองไปข้างหน้า คือ การหาพันธมิตรเพื่อจะเติบโตไปด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ เพราะธุรกิจในอนาคตต้องมีทรัพยากรต่างๆ ในหลายๆ ด้านประกอบกัน อย่างผมคนเดียวทำแค่นี้ก็หืดขึ้นคอแล้ว แต่ถ้าซีพีหรือสหพัฒน์ร่วมกับผม ผมมีระบบอาร์แอนด์ดี ตอนแรกก็เป็นพาร์ทเนอร์ก่อน แล้วถ้าแน่นแฟ้นกันมากขึ้นต่อไปก็แลกหุ้นกัน เมื่อทุกฝ่ายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์มีระบบตรวจสอบได้อย่างเต็มที่"
"เราต้องเข้าตลาดฯ เพราะเราต้องเติบโต ไม่อย่างนั้นการเป็นบริษัทฯ เล็กๆ จะทำให้เราต่อสู้ไม่ได้ในอนาคต ตอนนี้ผมเป็นตัวเอกของบริษัทฯ ถ้าเป็นอะไรไปบริษัทแย่แน่ แต่ถ้าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะเปลี่ยนผู้บริหารเมื่อไรก็ได้ แต่ตอนต้นช่วงที่เริ่มธุรกิจเป็นช่วงที่ยาก แต่พอไปได้แล้วตอนนี้ง่าย ต่อไปถ้าบริษัทฯ ที่จะเข้ามาร่วมทุนเห็นว่าแค่ผมได้ส่วนแบ่งตลาดกาแฟ แค่ 10% ก็ได้ 200 ล้านแล้ว จากที่สตาร์บัคส์มีอยู่ 2 พันล้าน ดูแล้วว่าถ้าไม่เข้าตลาดฯโอกาสต่อสู้เรามีน้อย"
สำหรับพันธมิตรที่จะมาร่วมกัน ต้องมีวิสัยทัศน์ จุดมุ่งหมาย คิดและทำเหมือนกัน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งไปด้วยกัน ต้องการบริษัทระดับอินเตอร์ฯ พูดภาษาเดียวกันรู้เรื่อง และจะได้เดินไปในตลาดโลกตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยบริษัทฯ ชำนาญด้านการผลิต แต่ไม่ชำนาญด้านการตลาด
นอกจากนี้ จะเชื่อมโยงกับพันธมิตรด้านอื่นอีก เช่น มหาวิทยาลัย เพื่อจะนำความรู้หรือเทคโนโลยีต่างๆ มาเพิ่มมูลค่า
"เมื่อเรามีสินค้าที่ดี แล้วมีพันธมิตร จากนั้นก็สามารถก้าวกระโดดได้ไม่ยาก เราไม่ได้แข่งกับคนไทย เพราะปัจจุบันต่างประเทศมองตลาดนี้เหมือนกัน เรามีโอกาสทางการแข่งขัน แต่ต้องมีพวก" สุรชัย ทิ้งท้ายไว้ในที่สุด
แม้ว่าจะยังไม่รู้แน่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ มากน้อยเพียงใด เพราะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่จะก้าวไปสู่ตลาดโลกของ "Taste Nirvana" ตราสินค้าที่มีเจ้าของเป็นคนไทย แต่ก็นับได้ว่า "สุรชัย วัฒนาพร" เป็นหนึ่งในเถ้าแก่ที่สวมหัวใจสิงห์
๐ ทายาท "พันท้ายนรสิงห์" หนึ่งในผู้นำธุรกิจซอสปรุงรส ผู้บุกเบิกตลาดอเมริกาในยุคเริ่มต้น ฉายภาพโอกาสใหม่ในธุรกิจที่สามารถครอบคลุมตลาดโลก
๐ การผนึกจุดแข็งควบจังหวะเหมาะ กับการมองอนาคตด้วยมุมมองที่กว้างไกล ก่อเกิดธุรกิจใหม่ในสายอาหารและเครื่องดื่ม อิงกระแสสุขภาพและความทันสมัย
๐ เผยวิธีคิดสร้างสินค้าใหม่ เบื้องหลังการทุ่มทุน 200 ล้านบาทตั้งฐานผลิตในไทย และทำไมต้องเทียบชั้นอันดับหนึ่งในตลาด?
มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ไปลุยสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยการเป็นเจ้าของกิจการอยู่ในต่างประเทศ
หลากหลายธุรกิจ หลากหลายรูปแบบ สารพัดหนทาง ทั้งสำเร็จ ล้มเหลว และยังไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย
"สุรชัย วัฒนาพร" เป็นหนึ่งในนั้น เมื่อกว่า 30 ปีก่อน ลูกชายคนที่ 2 ของเจ้าของซอสปรุงรส “ตราพันท้ายนรสิงห์” รับหน้าที่ไปขยายตลาดเครื่องปรุงรสของครอบครัวในสหรัฐอเมริกา และต่อมาก็ลงทุนทำธุรกิจของตนเอง ด้วยการตั้งโรงงานผลิตเครื่องดื่ม “ตราพันท้ายนรสิงห์” นอกเหนือจากจะดูแลธุรกิจกงสี และเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าไทยที่ต้องการเข้าไปเติบโตในอเมริกา
เมื่อโอกาสข้างหน้าเปิดกว้าง เขาจึงไม่หยุดอยู่แค่นั้น ล่าสุด สุรชัย หันมาตั้งฐานในไทย ด้วยการสร้างโรงงานที่ทันสมัยและได้มาตรฐานระดับสากลเพื่อผลิตเครื่องดื่ม พร้อมกับวางเป้าหมายและเตรียมแผนการที่จะเติบโตในธุรกิจอาหารอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยความคิดที่มองไปข้างหน้าอย่างเถ้าแก่ที่มีประสบการณ์
๐ บินตรงจากอเมริกา ตั้งฐานผลิตในไทย
สุรชัย วัฒนาพร ประธาน บริษัท เนอร์วาน่า ฟูดส์ แอนด์ คอมเมิซ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ถ่ายทอดความคิดและเรื่องราวธุรกิจใหม่ของเขา ว่า หลังจากไปบุกเบิกสินค้าเครื่องปรุงรสในตลาดอเมริกาให้ตราพันท้ายนรสิงห์ของครอบครัวจนมีชื่อเสียงในอเมริกาแล้ว
ในระหว่างนั้น ได้ลงทุนธุรกิจของตนเองด้วยการสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่ม และจำหน่ายในชื่อพันท้ายนรสิงห์ ทำตลาดมาถึง 15 ปี สินค้าที่ขายดีที่สุด คือ ชาไทย (ชานม) และกาแฟไทย ซึ่งมีชื่อเสียงและขายมากเป็นอันดับหนึ่งในตลาด เน้นชาวตะวันออกที่อยู่ในอเมริกาเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก
เขาให้เหตุผลว่า การไม่ขยายการผลิตในอเมริกา แต่กลับหันเข้ามาลงทุนกว่า 200 ล้านบาท ตั้งฐานการผลิตในไทยนั้น มาจากอุปสรรคเรื่องการกีดกันทางการค้าจากประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยุโรปหรือเอเชีย ซึ่งไม่ต้องการให้สินค้าจากอเมริกาเข้าไปในประเทศของตนได้ง่ายๆ ในขณะที่หากเป็นสินค้าจากไทยจะสามารถนำเข้าไปในประเทศต่างๆได้ง่ายกว่า
ที่สำคัญ คือ การเป็นแหล่งวัตถุดิบ และตัวสินค้าซึ่งมีรากฐานความเป็นไทยมานานหลายสิบปีแล้ว เพียงแต่นำมาสร้างความต้องการของตลาดให้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ตัดสินใจ โรงงานซึ่งเดินเครื่องผลิตไปแล้วบางส่วนจะเสร็จสมบูรณ์ในปลายปีนี้ โดยมีความพร้อมทั้งมาตรฐานด้านคุณภาพโรงงานที่ได้รับการรับรอง GMP, HACCP และHALAL และการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ
"สินค้าที่เราเลือกผลิตเป็นของที่มีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยากคือ คุณภาพที่ต้องทำให้ได้มาตรฐาน สำหรับเครื่องดื่มที่ผสมนมแล้วจะทำให้มันเป็นเนื้อเดียวกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เรื่องง่าย มีบางบริษัทเท่านั้นที่ทำได้ เช่น เนสท์เล่ , อายิโนะโมะโตะ(เบอร์ดี้) แต่เราทำได้เหมือนกันเพราะมีโนว์ฮาว รวมกับการทำให้รูปลักษณ์ของสินค้าดูเป็นของสมัยใหม่ ทำให้เราแข่งขันได้"
"เริ่มแรกเราจะทำให้ลูกค้าซื้อเพราะรูปลักษณ์การดีไซน์สินค้า แต่จะให้กลับมาซื้อซ้ำด้วยคุณภาพของสินค้า ทั้งสองส่วนนี้จะทำควบคู่กัน อย่างไรก็ตาม ก่อนผลิตเราศึกษาตลาดมาพอสมควรแล้วว่าลูกค้ายอมรับหรือไม่ยอมรับในจุดใดบ้าง ขณะเดียวกันเราพิถีพิถันในการทำสินค้ามากทุกขั้นตอน" สุรชัย อธิบายแนวทางสร้างสินค้าใหม่
โรงงานซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดนครปฐมแห่งนี้ พื้นที่โครงการออกแบบมา ผสมผสานความพอดีระหว่างโรงงานกับศิลปะแบบไทยๆ โดยมีการวางแปลนให้เหมาะสมทั้งการใช้งานทุกส่วน มีโรงงานผลิต และบรรจุ ระบบบำบัดน้ำเสีย และสระน้ำ 70ไร่ ซึ่งอนาคตสามารถใช้เป็นแหล่งน้ำให้กับโรงงานและมีความสวยงามด้วยอาคารไม้สไตล์ล้านนาที่ประยุกต์ให้ทันสมัย เพื่อให้บรรยากาศสบายๆ เหมาะสำหรับทั้งพนักงานที่อยู่ประจำ กับผู้ที่ไปเยี่ยมชม
๐ คลอดแบรนด์ "Taste Nirvana" ลุยตลาดโลก
แม้ว่าโรงงานจะเสร็จสมบูรณ์ในปลายปีนี้ แต่ปัจจุบันโรงงานเดินเครื่องผลิตไปแล้ว เพื่อรองรับตลาดที่มีความต้องการอยู่แล้ว
ทั้งนี้ สถานการณ์ตลาดเครื่องดื่มกำลังเติบโตมาก เนื่องจากกำแพงด้านการค้าเริ่มน้อยลงและหมดไป เช่นเดียวกับพฤติกรรมการบริโภคที่มีความเป็นสากลมากขึ้น ประกอบกับคนในหลายประเทศมีความมั่งคั่งมากขึ้น และพิถีพิถันกับความเป็นอยู่
สำหรับสินค้าประเภทชาและกาแฟที่พร้อมจะผลิตและจำหน่าย ประกอบด้วย ชาไทย กาแฟไทย ชาเขียวผสมนม น้ำมะพร้าว น้ำตะไคร้ และเครื่องดื่มใบหม่อนผสมดอกมะลิ ในชื่อ Taste Nirvana นอกจากนี้ ยังมี เครื่องดื่มประเภท Function Energy 4 ชนิด ในชื่อต่างๆ กัน ได้แก่ Black O-pium , Dark Scorpion , N-Tidote และ 4 play
สุรชัย บอกว่า Nirvana แปลว่า The highest stage of being. ซึ่ง Taste Nirvana ก็คือ การได้ลิ้มรสสิ่งที่ดีที่สุดที่มีอยู่ โลโก้จากมากรูปเทวดา ส่วนรูปทรงขวดแก้วมาจากรูปร่างผู้หญิง
"เราไม่ได้ทำชาหรือกาแฟไปแข่งกับเนสท์เล่ แต่เราทำชาไทย และกาแฟไทยไปป้อนตลาดโลก เรามีของดีมีคุณภาพอยู่แล้ว แต่เราจะแนะนำสินค้าเราให้เขาใช้ได้อย่างไร สินค้าเราไม่ทิ้งราก และนำเสนอในรูปลักษณ์สากล เป็นพรีเมี่ยม และขายในราคาพอประมาณ"
"วันนี้เราเริ่มส่งออกไปสหรัฐฯ เป้าหมายอันดับหนึ่งเพราะตลาดมีความพร้อมทั้งกำลังซื้อ และความต้องการสินค้า ชาไทยที่เราผลิตในอเมริกาใช้นอนแดรี่ครีมเมอร์ แต่ชาไทยที่ผลิตในไทยเราใช้นมเป็นส่วนประกอบ คือสูตรและรูปลักษณ์สินค้าต่างกัน เข้าไปในตลาดที่ต่างกัน เดิมเป็นตลาดทั่วไป แต่ของใหม่เป็นอีกตลาด อย่างไรก็ตาม เราได้เปรียบนิดหนึ่งตรงที่มีออฟฟิศสามารถดำเนินการได้สะดวก และเมื่อสินค้าเข้าอเมริกาได้ก็สามารถผ่านเข้าอีกหลายประเทศได้ง่าย เช่น สิงคโปร์"
ทั้งนี้ ในอเมริกามีซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆ มากมาย เช่น Saveway และเริ่มมีซูเปอร์มาร์เก็ตที่เรียกว่า ซีเล็คมาร์เก็ต เป็นสินค้าที่คัดสรรมาอย่างดี เช่น Whole Food, HEB และ Wildoat ซึ่งขณะนี้สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน เริ่มมีมากขึ้น
"จริงอยู่สินค้าที่เราทำมีความเป็นไทย แต่ก็มีความเป็นสากลอยู่ในตัวด้วย สามารถขยายตลาดไปได้ทั่วโลก นอกจากกาแฟ กับชา ยังมีน้ำมะพร้าว ซึ่งคนไทยกินมานานแล้วแต่วิธีการกินไม่สะดวก เพราะฉะนั้นจึงเลือกขายความสะดวกและรูปลักษณ์ให้ผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ตลาดโลก โดยการสร้างแบรนด์ Taste Nirvana ขึ้นมา ในกลุ่ม Nirvana Foods"
อย่างไรก็ตาม การทำตลาดแยกเป็น 2 ส่วน คือ ตลาดที่มีความมั่งคั่งแล้ว เป็นเป้าหมายหลัก เช่น อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ กับตลาดที่กำลังเริ่มเติบโต เช่น จีน และอินเดีย เป็นตลาดที่เริ่มจับจ่ายได้มากขึ้น เป็นเป้าหมายรอง
"แต่ญี่ปุ่นอาจจะเข้ายากนิดนึงเพราะมีกฎระเบียบกีดกันมาขายของเก่งแต่ซื้อยาก ส่วนอเมริกาขายเก่งซื้อง่าย ซึ่งข้อได้เปรียบของไทยอยู่ที่รสชาติกลมกล่อม มีหลายรส และอาหารไทยไปเผยแพร่มานาน แม้ว่าคนอื่นจะผลิตสินค้าประเภทนี้ได้ แต่เราผลิตได้ก่อน ด้วยคุณภาพที่ดี และราคาแข่งขันได้"
ตามแผนการ เครื่องดื่มที่ผลิตในไทยจะมีการส่งออกอยู่ในสัดส่วน 80% ที่เหลือ 20% เป็นการทำตลาดในประเทศไทย โรงงานที่ตั้งขึ้นมาเพื่อผลิตเครื่องดื่มประมาณ 65% เช่น ชา กาแฟ น้ำสมุนไพร อย่าง น้ำตะไคร้ , ชาใบหม่อน และน้ำมะพร้าว ส่วนที่เหลือ 35% เป็นการผลิตสินค้าอื่น เช่น ภายใน 2 เดือนข้างหน้าจะผลิต น้ำสลัด ซึ่งมีความเป็นสากล แต่มีรากฐานความเป็นไทยอยู่ด้วย
เนื่องจากอาหารไทยมีการเติบโตรวดเร็วและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ดังนั้น บริษัทฯ จึงมุ่งไปที่ธุรกิจเกี่ยวกับการปรุงอาหาร สุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดี
๐ รุกตลาดเครื่องดื่ม ขายความเป็นสากล
"ตอนนี้เครื่องดื่มที่ขายดีที่สุดในตลาดโลก คือ น้ำ เพราะฉะนั้น เมื่อเราออกสินค้าน้ำตะไคร้ แต่การนำเสนอให้บริโภคเป็นน้ำเปล่า จึงทำรสอ่อน เพื่อให้บริโภคได้เรื่อยๆ ไม่นำเสนอในตลาดน้ำสมุนไพรเพราะเซ็กเม้นต์เล็ก แต่น้ำเซ็กเม้นต์ใหญ่มาก หรือชาใบหม่อนผสมมะลิ ถ้าเราสามารถทำให้คนหันมาดื่มแทนน้ำแร่ก็ได้ตลาดใหญ่มหาศาล เราจึงทำให้เป็นธรรมชาติล้วนๆ ไม่ใส่น้ำตาล หรือส่วนประกอบอื่นๆ อยู่ในกลุ่ม All Natural ซึ่งตลาดทั่วโลกยอมรับสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น แม้ว่าคนอื่นจะทำได้แต่ต้องลงทุนเท่าๆ กับเรา"
ตลาดAll Natural Food ใหญ่มาก ส่วนใหญ่วางจำหน่ายกันใน Select Market ซึ่งในยุโรปขยายไปก่อนแต่ในอเมริกาเติบโตเร็วมาก ซึ่งนอกจากสินค้าของ Nirvana จะไปในอเมริกาแล้ว ในไทยยังจะมีวางจำหน่ายที่ท๊อปส์ เอ็มโพเรี่ยม และฟูดแลนด์ ซึ่งมีเป้าหมายที่กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีสินค้าเครื่องดื่มประเภท Functional Energy Drink เช่น N-Tidote , 4 play, Dark Scorpion กับBlack O-pium ซึ่งบริษัทฯ พร้อมที่จะนำออกสู่ตลาดโลก เพราะเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ ในซูเปอร์มาร์เก็ต คอนวีเนี่ยนสโตร์ และ
คลับต่างๆ มีช่องทางให้วางสินค้าในกลุ่มนี้มาก และเชื่อว่าจะแข่งขันได้ทั้งในด้านรูปลักษณ์ รสชาติ และฐานการตลาด
๐ เบนช์มาร์คเบอร์ 1 สตาร์ท "แบบหมูไม่กลัวน้ำร้อน"
เถ้าแก่มากประสบการณ์ อธิบายถึงการที่จะไปสู่ตลาดโลกได้ตามเป้าหมายนั้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ การศึกษาคู่แข่ง
"เราเบนช์มาร์คกับคนที่เป็นเบอร์ 1 เราตั้งเป้าหมายจะเป็นเบอร์ 1 แต่ขณะนี้เราไม่ใช่ แต่เราไม่ได้เบนช์มาร์คว่าจะต้องแข่งกับเขาแล้วเป็นเบอร์ 1 แต่เรากล้ารับประกันว่าสินค้าเราดีที่สุด เราศึกษาคู่ต่อสู้เพื่อดูว่าคุณภาพของเราสู่เนาได้หรือยัง ถ้าไม่ได้ก็ยังไม่ผลิต แต่ถ้าสู่ได้แล้วจึงออกมา เช่น เราศึกษาสตาร์บัคส์ ในการผลิตกาแฟ ส่วนเอเนอร์ยี่ ดริ้ง ยอมรับว่ากระทิงแดงเป็นแบรนด์ที่เก่ง เราพัฒนาสินค้าเพื่อให้ได้สิ่งที่เหนือกว่าก่อน"
หรือน้ำมะพร้าว ก็ใช้การซื้อของทุกแบรนด์มาชิมแล้วทำให้ดีกว่า แล้วเทียบวัดกับน้ำมะพร้าวจากธรรมชาติ เพราะยอดขายที่มากที่สุดของน้ำมะพร้าวคือมะพร้าวน้ำหอมสดๆ ไม่มีการปรุงแต่ง และใช้วิธีถนอมอาหารโดยไม่ใส่สารเคมีเลย
การทำเบนช์มาร์ค์ คือการทำเกณฑ์เฉลี่ยให้ได้ตามตลาดแต่ละประเทศซึ่งต่างกันไป เช่น ตลาดอเมริกาชอบหวานก็ส่งแบบหวานไป ส่วนคนไต้หวันกินหวานน้อยกว่าก็ต้องทำตามที่ลูกค้าต้องการ
"ส่วนชาไทยที่ส่งไปอเมริกาก็เบนช์มาร์คกับชารสชาติเดิมที่มีอยู่ เพื่อวัดความพึงพอใจของลูกค้าให้ได้ ไม่ใช่ว่ากินของเดิมที่มีอยู่แล้วไม่กินของใหม่ สูตรหรือรสชาติต่างกันได้ แต่ความพอใจต้องเท่าเทียมกัน"
เขาย้ำว่า อุปสรรคสำคัญในการทำธุรกิจนี้ อยู่ที่การต้องทำให้ได้คุณภาพเท่าเทียมกันทุกครั้ง ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแต่ต้องเป็นร้อยครั้งที่ทดสอบมาแล้วและต้องทำให้ได้ตลอดไป โดยเฉพาะประเภท All Natural ทำยากมาก เช่น น้ำมะพร้าว น้ำตะไคร้ เพราะผลผลิตของวัตถุดิบที่ได้มาแต่ละครั้งต่างกัน
"หน้าที่เราต้องปรับให้ได้เหมือนกันทุกขวดในแต่ละล็อท สำหรับกลุ่ม All Natural เราไม่ได้ปรับเพื่อปรุงแต่ง แต่เป็นไปตามที่ตลาดยอมรับ เมื่อบริโภคแยกความแตกต่างได้น้อยมาก ต้องวัดด้วยเครื่องมือ อย่างสตาร์บัคส์ไม่มีการเปลี่ยนคนชิมกาแฟง่ายๆ เพื่อจะต้องวัดให้กาแฟที่ทำออกมาได้มาตรฐานเดียวกัน ซึ่งเครื่องมือชิมไม่ได้ทั้งหมด เพราะการปรุงรสเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์"
ในฐานะเถ้าแก่ เขาเปรียบตัวเองเหมือนกับ "หมูไม่กลัวน้ำร้อน" เพราะแม้ว่าจะมีความตั้งใจจริง ความ เชื่อมั่น ความชำนาญ และประสบการณ์ในธุรกิจที่ทำ แต่ก็มีความมั่นใจได้แค่ 80% ส่วนที่เหลือเผื่อไว้สำหรับความผิดพลาด เพราะมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้
๐ เล็งพันธมิตร ตั้งเป้าเข้าตลาดฯ ใน 2 ปี
สุรชัย ชี้ว่า จุดอ่อนเอสเอ็มอีไทยส่วนใหญ่ยังมีความไม่พร้อม เช่น ไม่รู้ว่าตลาดต่างประเทศเขาทำกันอย่างไร แต่เขาอยู่อเมริกามาก่อน แม้ว่าจะไม่รู้ทั้งหมด แต่รู้ว่าสินค้าพวกนนี้ที่ทำออกมาขายได้ในเมืองนอก ซึ่งคนไทยอาจจะยังไม่แน่ใจ
ขณะนี้ ผู้ประกอบการไทยในอเมริกากลุ่มที่ใหญ่ที่สุด คือ ร้านอาหาร เพราะขอแค่บริการดี และโฆษณานิดหน่อย ก็อยู่ได้ในธุรกิจนี้ ทำงานง่าย แต่สินค้าอย่างของเขา ต้องมีระบบและต้องการอะไรหลายอย่างมากกว่า เช่น เงินทุน โนว์ฮาว การทำตลาด แต่เมื่อทำได้แล้วจะไปได้ไกลกว่า
อย่างไรก็ตาม สำหรับโครงการที่เขาวางไว้เมื่อ 3 ปีก่อน กำลังจะได้ออกดอกออกผล กับยอดขายในปีแรกวางไว้ 150 ล้านบาท ปีที่สองเพิ่มเป็น 300 ล้านบาท และปีที่สามเพิ่มเป็น 600 ล้านบาท ซึ่งการตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตได้รวดเร็วขนาดนี้ เถ้าแก่ที่มองการณ์ไกลบอกว่า เป็นเพราะสินค้าที่ทำมีอนาคตไกล มีตลาดขนาดใหญ่รองรับอยู่ และเป็นสินค้าที่มีรากเหง้า ในขณะเดียวกันก็มีรสชาติแบบที่ตลาดสากลยอมรับได้อยู่แล้ว
ดังนั้น จึงตั้งเป้าหมายว่าภายใน 2 ปีข้างหน้า จะนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจาก เห็นความจำเป็นอย่างมากหากต้องการให้ธุรกิจมีความมั่นคงและสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
"ทิศทางที่มองไปข้างหน้า คือ การหาพันธมิตรเพื่อจะเติบโตไปด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ เพราะธุรกิจในอนาคตต้องมีทรัพยากรต่างๆ ในหลายๆ ด้านประกอบกัน อย่างผมคนเดียวทำแค่นี้ก็หืดขึ้นคอแล้ว แต่ถ้าซีพีหรือสหพัฒน์ร่วมกับผม ผมมีระบบอาร์แอนด์ดี ตอนแรกก็เป็นพาร์ทเนอร์ก่อน แล้วถ้าแน่นแฟ้นกันมากขึ้นต่อไปก็แลกหุ้นกัน เมื่อทุกฝ่ายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์มีระบบตรวจสอบได้อย่างเต็มที่"
"เราต้องเข้าตลาดฯ เพราะเราต้องเติบโต ไม่อย่างนั้นการเป็นบริษัทฯ เล็กๆ จะทำให้เราต่อสู้ไม่ได้ในอนาคต ตอนนี้ผมเป็นตัวเอกของบริษัทฯ ถ้าเป็นอะไรไปบริษัทแย่แน่ แต่ถ้าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะเปลี่ยนผู้บริหารเมื่อไรก็ได้ แต่ตอนต้นช่วงที่เริ่มธุรกิจเป็นช่วงที่ยาก แต่พอไปได้แล้วตอนนี้ง่าย ต่อไปถ้าบริษัทฯ ที่จะเข้ามาร่วมทุนเห็นว่าแค่ผมได้ส่วนแบ่งตลาดกาแฟ แค่ 10% ก็ได้ 200 ล้านแล้ว จากที่สตาร์บัคส์มีอยู่ 2 พันล้าน ดูแล้วว่าถ้าไม่เข้าตลาดฯโอกาสต่อสู้เรามีน้อย"
สำหรับพันธมิตรที่จะมาร่วมกัน ต้องมีวิสัยทัศน์ จุดมุ่งหมาย คิดและทำเหมือนกัน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งไปด้วยกัน ต้องการบริษัทระดับอินเตอร์ฯ พูดภาษาเดียวกันรู้เรื่อง และจะได้เดินไปในตลาดโลกตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยบริษัทฯ ชำนาญด้านการผลิต แต่ไม่ชำนาญด้านการตลาด
นอกจากนี้ จะเชื่อมโยงกับพันธมิตรด้านอื่นอีก เช่น มหาวิทยาลัย เพื่อจะนำความรู้หรือเทคโนโลยีต่างๆ มาเพิ่มมูลค่า
"เมื่อเรามีสินค้าที่ดี แล้วมีพันธมิตร จากนั้นก็สามารถก้าวกระโดดได้ไม่ยาก เราไม่ได้แข่งกับคนไทย เพราะปัจจุบันต่างประเทศมองตลาดนี้เหมือนกัน เรามีโอกาสทางการแข่งขัน แต่ต้องมีพวก" สุรชัย ทิ้งท้ายไว้ในที่สุด
แม้ว่าจะยังไม่รู้แน่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ มากน้อยเพียงใด เพราะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่จะก้าวไปสู่ตลาดโลกของ "Taste Nirvana" ตราสินค้าที่มีเจ้าของเป็นคนไทย แต่ก็นับได้ว่า "สุรชัย วัฒนาพร" เป็นหนึ่งในเถ้าแก่ที่สวมหัวใจสิงห์