กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ยาวต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี 2549 สำหรับ ขนมปังก้อนสไตล์เม็กซิกัน (Mexican Bun) หรือ "บัน" ที่ "โรตีบอย" สัญชาติมาเลเซียเปิดตัวก่อนเป็นรายแรก สร้างกระแสความนิยมของผู้บริโภคและนักลงทุนที่เล็งหาธุรกิจ
ปัจจุบันแบรนด์อื่นๆ เริ่มทยอยเปิดตัว ล่าสุดมีด้วยกันถึง 5 แบรนด์ ประกอบด้วย โรตีบอย ปาป้าโรตี คอฟฟี่โดม มิสเตอร์บัน และเบเกอร์บอย ที่ต่างชูกลยุทธ์เรื่องกลิ่น มาเป็นตัวช่วยดึงดูดผู้บริโภคและการต่อคิว สร้างกระแสแจ้งเกิดแบรนด์อย่างรวดเร็ว
ล่าสุด กลยุทธ์การครองตลาด มุ่งเน้นทำเลที่ห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก ที่ทุกแบรนด์หวังกวาดพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าให้ได้จำนวนสาขามากที่สุด ซึ่งสอดคล้องกลยุทธ์ในเรื่องของกลิ่นที่กระจาย สร้างความอบอวลได้มากกว่าพื้นที่โล่ง ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งของ "คอฟฟี่โดม" และอีกหลายแบรนด์มองเห็นเช่นกันนอกจากเป็นทำเลทองที่มีลูกค้าหลากหลายกลุ่มไปจับจ่ายสินค้าต่างๆ ผ่านห้าง
"กลิ่น" จุดขายหลัก ปรับรสชาติรับตลาดคนไทย
จากการทยอยเปิดตัวตลอดช่วง 4-5 เดือนที่มาผ่านนี้ แต่ละแบรนด์ ได้ชูจุดเด่นในเรื่องของความสด ด้วยการอบสด รสชาติ และกลิ่นที่ชวนให้ลิ้มลอง เพราะจุดเด่นของธุรกิจคือตัวสินค้า ฉะนั้นต้องคงความสด รสชาติอร่อย
หากมองถึงจุดเด่นในแต่ละแบรนด์ ต่างชูจุดขายคือโปรดักส์ สดใหม่ รสชาติอร่อย จะเห็นว่า "คอฟฟี่ โดม"ให้ความสำคัญตั้งแต่การตั้งชื่อ จาก "โรตี มัม" สัญชาติสิงคโปร์ พอเข้ามาไทยและจัดตั้งบริษัท คอฟฟี่ โดม (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ดูแลโดยผู้บริหารชาวไทยถือหุ้นสูงถึง 70%
นำมาป็นจุดแข็งว่าเป็นแบรนด์ไทย ที่รู้และเข้าใจผู้บริโภคในเรื่องของรสชาติมากที่สุด ด้วยการปรับปรุงสูตรขนมปังก้อนให้ออกรสชาติกลมกล่อมที่คนไทยชื่นชอบ โดยยังชูรสกาแฟเป็นสินค้าขายหลัก เป็นสูตรพิเศษน้ำมันน้อย กาเฟอีนต่ำ
ส่วนทางด้าน "มิสเตอร์บัน" เรียกว่าเป็นรายแรกที่ทำตลาดในไทย ชูเรื่องของราคาชิ้นละ 10 บาท ขณะที่แบรนด์อื่นราคาชิ้นละ 25 บาท ทั้งนี้ได้ให้เหตุผลของการตั้งราคา 10 บาทต่อชิ้นว่าสอดรับพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยและเป็นราคาที่คุ้มค่าคุ้มราคา รวมถึงขนาดที่เล็กลงแต่พอดีสำหรับการรับประทานต่อหนึ่งคน และยังมีรสชาติให้เลือกที่หลากหลาย กาแฟ มะพร้าวและสตอเบอรี่
"เบเกอร์บอย" แม้สาขายังยังน้อยเปิดตัวสาขาแรกที่เดอะมอลล์งามวงศ์วาน ได้ชูสูตรความอร่อยต้นตำรับจากสิงคโปร์และแพจเกจจิ้งหรือถุงใส่ที่เน้นสีสันสดใส เรียกกำลังซื้อจากลูกค้าย่านประชาชื่น จนต้องต่อแถวยาวเหยียด ด้วยกลยุทธ์กลิ่นที่ดึงดูดลูกค้าเช่นกัน
ส่วน "โรตีบอย" ผู้จุดพลุสร้างปรากฏการณ์ เป็นรายแรกในตลาด กับ 2 สาขาสยามสแควร์และสีลมที่รอคิวนานนับชั่วโมง และการที่ผู้บริโภคได้ลิ้มรสชาติเป็นแบรนด์แรกๆ นั้น นำมาเป็นจุดแข็งสื่อถึงผู้นำตลาดเจ้าแรกและเป็นสูตรขนมปังต้นตำรับจากสิงคโปร์และจำกัดจำนวนซื้อกระตุ้นความต้องการ
ด้าน "ปาปา โรตี" สัญชาติมาเลเซีย เช่นเดียวกับโรตีบอย ที่ทำธุรกิจคู่คี่กันมาตลอด 6 ปีที่มาเลเซีย แม้มีหน้าตาที่ไม่แตกต่างกันแต่ส่วนผสม cookie cram topping ทำให้ขนมมีลักษณะกรอบนอก นุ่มใน กับรสกาแฟหอมกรุ่น และเมื่อทำตลาดในประเทศได้ชูความสดใหม่จึงเน้นจึงเน้นวัตถุดิบในไทย 60% และ 40% คือเมล็ดกาแฟชั้นนำที่เป็นพันธุ์ผสมจากละตินอเมริกาและเอเชีย ทำให้เกิดกลิ่นหมอตามธรรมชาติ
ตั้งเป้าทะลุ 100 สาขา แห่ทุ่มทุนโรงงานผลิต
และ ภาพที่ปรากฏขึ้นในปัจจุบัน จากการทยอยเปิดตัวแบรนด์ โปรดักส์ไปแล้ว การขยายสาขาเป็นเป้าหมายต่อมานั้น "คอฟฟี่โดม" ตั้งเป้าเพิ่มสาขาเป็น 55 สาขาทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ด้าน "มิสเตอร์บัน" ได้วางแผนการลงทุนสูงถึง 45 ล้านบาทขยายสาขาเพิ่ม 35 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 15 สาขา ทั้งแบบลงทุนเองและขยายแฟรนไชส์ ส่วน "โรตีบอย" ตั้งเป้าปี 2549 นี้จะมีสาขาอีกไม่ต่ำกว่า 20-30 สาขา "ปาปาโรตี" ในปี 2549 จะสามารถขยายสาขาได้ 70-100 สาขา ทั้งขยายการลงทุนเองและแฟรนไชส์
กับจำนวนสาขาของแต่ละรายนั้น คาดว่าจะโตขึ้นตามการขยายตัวของของโมเดิร์นเทรดทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด และห้างสรรพสินค้าใหญ่ เช่น เซ็นทรัล เดอะมอลล์ จะมีแบรนด์ต่างๆ จับจองพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 2-3 แบรนด์ รวมถึงดิสเคาท์สโตร์ก็เช่นเดียวกัน
กับจำนวนสาขาที่แต่ละแบรนด์ ตั้งเป้าในปี 2549 จะเห็นว่าเริ่มตั้งแต่ 30-100 สาขา การขยายกำลังการผลิตตามมา จากที่นำเข้าจากประเทศต้นตำหรับไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ มาเลเซีย ต่างเริ่มขยายโรงงาน อย่าง "ปาปาโรตี" ทุ่มงบกว่า 20 ล้านบาทสร้างโรงงานผลิต เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่ 80,000 ชิ้นต่อวันกับจำนวนสาขาที่ 100 สาขา
เช่นเดียวกับ "คอฟฟี่โดม" ใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท ในการสร้างโรงงานเพื่อเป็นครัวกลางรองรับการผลิตแป้งขนมปังส่งต่อไปยังร้านสาขาต่างๆ ที่จะขยายในประเทศและต่างประเทศ
หรือ "มิสเตอร์บัน" ได้ขยายโรงงานผลิตแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี รองรับการผลิตสินค้าป้อนตลาดต่างจังหวัดอีกด้วย
โอกาสธุรกิจรุ่ง-ร่วง วิเคราะห์ปัจจัยรอบด้าน
หากมองถึงโอกาสธุรกิจ ปฏิเสธ ไม่ได้ว่านักลงทุนย่อมมองถึงผลตอบแทนต่อการลงทุนมาเป็นอันดับแรก ซึ่งมาร์จิ้นของธุรกิจเบเกอรี่ค่อนข้างสูง ประกอบกับเป็นธุรกิจที่อยู่ในกระแส การลงทุนมีตั้งแต่พื้นที่ 20 ตร.ม.ถึง 50 ตร.ม. เงินลงทุน 1.5-2 ล้านบาท เป็นพื้นที่และเม็ดเงินลงทุนของแต่ละรายที่ไม่ต่างกันมากนัก
กับผู้บริหาร "คอฟฟี่ โดม" มองว่า ศักยภาพของตลาดลูกค้าในไทยมีการพัฒนาต่อเนื่องใน 3-5 ปีข้างหน้า และจากผลสำรวจของบริษัทพบว่าคนไทยชอบทานขนมปังและมีมูลค่าการตลาดที่สูงมาก
ชัชวาล แดงบุหงา ผู้บริหาร "ปาปา โรตี" มองว่า ดูได้จากการขยายสาขาเริ่มสาขาแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ปัจจุบันมีแฟรนไชซีที่พร้อมลงทุนและทำสัญญากันแล้วจำนวน 40 ราย ด้วยทั้งนี้ในกลุ่มเบเกอรี่เป็นตลาดใหญ่ที่มีอัตราการเติบโตที่ดี เพียงแต่จะทำอย่างไรให้ขยายธุรกิจให้ยืนยาว ซึ่งตามแผนงานคือการนำเครื่องดื่มเข้ามาวางจำหน่าย
ในกลุ่มของผู้ร่วมลงทุนนั้น ส่วนหนึ่ง ชะลอการตัดสินใจเพราะไม่มั่นใจว่าจะเป็นธุรกิจตามกระแสหรือ ไม่ แต่ด้วยกระแสก็มีจุดดีและเป็นธุรกิจที่มีผลการตอบแทนสูงและคืนทุนเร็ว สำหรับ "ปาปาโรตี" คืนทุน 2.5-2.7 เดือนเท่านั้น ทำให้การเข้ามาของนักลงทุนจำนวนมาก
แต่ด้วยการตลาดที่แข่งขันสูงทำให้ นักลงทุนเลือกที่จะลงทุนกับแบรนด์ที่สร้างความมั่นใจและมีชื่อเสียง
สอดคล้องกับ ผศ.ธีรพันธ์ โล่ห์ทองคำ ที่ปรึกษาทางด้านสื่อสารการตลาดในหลายองค์กรและผู้ทรงคุณวุฒิอาจารย์ระดับปริญญาโทหลายสถาบัน ให้ข้อมูลว่า ขนมปังก้อนสไตล์เม็กซิกันนี้ แตกต่างจากกระแสความนิยมชานมไข่มุกเพราะเป็นสินค้าที่อิงกับสุขภาพ แต่ขณะที่ขนมลักษณะนี้จะอิงกับกระแสมาร์เก็ตติ้งเป็นการทำตลาดแบบเฉพาะเจาะจง (Customise Marketing)
แต่อย่างไรก็ตามการที่ธุรกิจจะอยู่ได้หรือไม่นั้น นอกจากการทำตลาดและโปรโมชั่นที่น่าสนใจของแต่ละรายแล้ว ยังต้องขึ้นอยู่กับทำเลพื้นที่ และสิ่งสำคัญคือการให้ความสำคัญกับตัวสินค้า เพราะการยืนรอนานเท่าไหร่ ความคาดหวังในตัวสินค้าสูงแต่ถ้าสินค้าไม่อร่อยตามที่คาดไว้ก็จะไม่เกิดการซื้อซ้ำ
ด้าน พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ นายกสมาคมแฟรนไชส์และเอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า ทั้งนี้มีมีการเพิ่มโปรดักส์ไลน์ใหม่ๆ เข้ามาเสริม เมื่อแผนการขยายสาขาสามารถเป็นไปตามเป้าหรือครอบคลุมกลุ่มลูกค้า เพราะเช่นนั้นจะเป็นสินค้าธรรมดาที่ผู้บริโภคสามารถซื้อซ้ำได้
และเชื่อว่าความต้องการในตลาดยังมีสูง คาดแต่ละแบรนด์จะสามารถขยายสาขาได้ถึง 100 สาขา ขึ้นอยู่กับการจับจองพื้นที่ แม้ปรากฏการณ์การรอคิวจะลดลงแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อร้านเพราะร้านถูกดีไซน์ว่าต้องมีลูกค้าขนาดไหน
ปรากฏการณ์นี้จะยาวนานแค่ไหน จะเป็นเพียง “กลิ่น” ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป และ 5 แบรนด์ที่กล่าวมาใครจะเป็นตัวจริงเสียงจริง!