ธุรกิจอาหารกระป๋อง มีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะสังคมโลกเปลี่ยนไป ผู้หญิงต้องออกทำงานนอกบ้าน การเตรียมอาหารเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ดังนั้น ธุรกิจอาหารสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูป จึงได้รับความนิยมในทุกประเทศ รวมถึงปลากระป๋อง ปลาซาดีนในซอสมะเขือเทศ ซึ่งเป็นอาหารกระป๋องที่ขายกันมาเป็นเวลานาน และเป็นตลาดที่ใหญ่มาก มีอัตราเติบโตไม่น้อยกว่า 10 % ทุกปี มีผู้ให้ความสนใจลงมาในธุรกิจปลากระป๋องรายใหม่ และหนึ่งในนั้น เป็นบริษัท ฟู้ดโปรแอนด์พลัส จำกัด
นายพิบูลย์ ม้าวิไล ประธานกรรมการ บริษัท ฟู้ดโปรแอนด์พลัส จำกัด หนึ่งในทีมผู้บริหาร เปิดเผยว่า โรงงานของเรา ผลิตปลาซาดีน และปลาแมคคอแรล ในซอสมะเขือเทศ บรรจุกระป๋อง โดย เป็นโรงงานขนาดกลาง เกิดจากการรวมตัวของ 4 ผู้บริหาร ที่มีประสบการณ์ ความรู้ ความชำนาญในอุตสาหกรรมอาหารกระป๋องกว่า 10 ปี และได้นำประสบการณ์จากการเป็นลูกจ้างมาเปิดธุรกิจของตัวเอง โดยเริ่มจากธุรกิจเล็กๆ ด้วยการรับจ้างผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้า ในต่างประเทศ แถบทวีปอเมริกากลาง และ อเมริกาใต้ รวมถึงประเทศในแถบตะวันออกกลาง เริ่มต้นผลิตเมื่อเดือน กันยายน 2548 กำลังการผลิตวันละ 6-7 หมื่นกระป๋อง เดือนละ 20 ตู้คอนเทรนเนอร์ ตู้ละ 1 แสนกระป๋อง
สำหรับการลงทุนตั้งงบไว้ 35-40 ล้าน แบ่งเป็นการลงทุนที่ดิน 15-20 ล้านบาท และเครื่องจักร 7-10 ล้านบาท ส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนเงินกู้ จากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SME BANK โดยปัจจัยผลกระทบต่อการทำธุรกิจปลากระป๋อง คือวัตถุดิบ เพราะมีฤดูกาลสัตว์น้ำทะเลวางไข่ ซึ่งจะปิดอ่าว ไม่จับปลากัน ทำให้ขาดแคลนวัตถุดิบ และราคาปลาจะสูงขึ้น ตั้งแต่เดือน มกราคม ถึง พฤษภาคม ซึ่งปัจจุบันลูกค้าจะรู้ และไม่ซื้อขายกันในช่วงนั้น จะเริ่มสั่งซื้อสินค้า ตั้งแต่กลางปีไปจนถึงปลายปี จะเป็นช่วงของการซื้อขาย
นอกจากนี้ ปัจจัยผลกระทบ อีกประการหนึ่ง จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อราคาวัตถุดิบ ปรับสูงขึ้น คาดว่า ราคาวัตถุดิบจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20 % และจากภาวะราคาน้ำมันเพิ่มทำให้น้ำมันเตาใช้ในการผลิตเพิ่ม อีก 10 % ส่วนค่าเงินบาทจะกระทบเทรดเดอร์ ไม่ได้กระทบกับเรา เพราะขายออกมาเป็นเงินบาท จากปัญหาราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น ผู้ผลิตรายใหญ่จะมีออกทาง ด้วยการขายปริมาณมาก และปรับปรุงเรื่องการผลิต โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยจะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ ทำให้ผลิตได้รวดเร็ว และเม่นยำ ลดต้นทุนได้
"ในส่วนของตลาดปลากระป๋องมีอัตราเติบโตประมาณ 10 % ทุกปี แม้ว่าจะมีผู้ผลิตขนาดใหญ่ ขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่ทำตลาดส่งออกหลายราย แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะธุรกิจอาหารกระป๋องที่มาจากประเทศไทยได้รับการยอมรับจากตลาดต่างประเทศเป็นอย่างดี ในแต่ละปีประเทศไทยส่งออกอาหารกระป๋องไปต่างประเทศเป็นจำนวนมาก อย่างโรงงานขนาดใหญ่ จะต้องรับออร์เดอร์กันข้ามปีเลยที่เดียว ดังนั้น เราจึงไม่กลัวเรื่องของตลาด เพราะมีแน่นอนถ้าเราผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ราคาสินค้าของเราจะแบ่งตามเกรด ราคาเริ่มต้น 600-800 บาท ต่อลัง 100 กระป๋อง ” นายพิบูลย์ กล่าว
ทั้งนี้ ในอนาคตมีแผนที่จะสร้างแบรนด์ของตัวเอง เพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ส่วนตลาดก็ยังคงเน้นตลาดส่งออก เพราะมองว่า แม้ว่าการสร้างแบรนด์ในต่างประเทศจะยาก แต่การทำตลาดต่างประเทศ มีความหลากหลายมากกว่า ตลาดกว้างกว่า โอกาสที่จะขายมีมากกว่า ส่วนการทำตลาดในประเทศไทย ปัจจุบัน ขายภายในประเทศ เพียง 10% ในอนาคตมีแผนที่จะสร้างแบรนด์และขายภายในประเทศมากขึ้น ด้วย
สำหรับคู่แข่งในต่างประเทศ ที่น่ากลัว คงจะเป็นเวียดนาม เพราะเวียดนามมีทรัพยากรที่มากกว่า แต่ก็ยังสุ้ประเทศไทยไม่ได้เรื่องคุณภาพของสินค้า ลูกค้าให้การยอมรับในตัวสินค้าของเรามากกว่า จะเห็นว่า ปัจจุบันโรงงานขนาดใหญ่มีการขยายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปยังเวียดนามเพราะมีวัตถุดิบรองรับมากกว่า ในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันเริ่มลดน้อยลง
โทร. 0-1820-3283 ,0-1732-1763