สถาบันพัฒนาเด็กเล็กบูม KIDO นำเข้าโปรแกรมต่างประเทศ หวังสร้างสถาบัน ชูคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างจากตลาดพัฒนาตามวัยและความสนใจของเด็ก เปิดโปรแกรม 3 เดือนถึง 6 ขวบ จับกลุ่มเป้าหมายระดับเอถึงบีบวก ตั้งเป้าปีแรกขยายในเขตกรุงเทพฯ 1-2 สาขา และอีก 5 ปีเพิ่มเป็น 6 สาขา ก่อนลุยเฟสต่อไปต่างจังหวัดและเจาะตลาดโรงเรียน

วริษ วัฒนคุณ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาเด็กเล็กแบรนด์ KIDO กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของธุรกิจ KIDO เกิดจากแนวคิดที่ต้องการมีธุรกิจของตนเอง โดยขณะนั้นการทำสถาบันพัฒนาเด็กเล็กมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือ 1.การซื้อแฟรนไชส์สถาบันพัฒนาเด็กเล็กจากต่างประเทศเข้ามาบริหาร และ 2.คิดโปรแกรมเพื่อทำสถาบันพัฒนาเด็กเล็กขึ้นมาเอง ซึ่งตนเลือกที่จะทำขึ้นเองเนื่องจากความเชื่อของเรื่องสถาบันพัฒนาเด็กเล็กที่มีอยู่ในตลาดไม่ตรงกับความเชื่อของตน จึงเดินไปหาซื้อโปรแกรมของสถาบันพัฒนาเด็กเล็กที่ต่างประเทศด้วยตนเอง
โดยเป็นการนำเฉพาะโปรแกรมเข้ามาจากต่างประเทศมิได้นำแบรนด์เข้ามาด้วย อย่างไรก็ดี ในการเข้าตลาดช่วงแรก KIDO ยังได้รับคำปรึกษาจากเจ้าของโปรแกรมอย่างต่อเนื่อง และเมื่อธุรกิจเริ่มนิ่งบริษัทก็ขยายโปรแกรมเพิ่มขึ้นต่อไป โดยโปรแกรมที่ขยายจะดูจากความต้องการของเด็กและการรับคำปรึกษาจากต่างประเทศนำมาปรับใช้

อย่างไรก็ดี โปรแกรมที่นำเข้ามาจะต้องเป็นโปรแกรมที่ให้ทั้งการเล่นและการเรียนรู้ไปด้วยกันได้ นอกจากนี้ โปรแกรมยังต้องมีความยืดหยุ่น และต้องเป็นโปรแกรมที่สามารถตอบสนองความต้องการของพ่อแม่ที่มีพฤติกรรมไม่เหมือนกันได้ อย่างไรก็ดี การที่ KIDO มีโปรแกรมให้เลือกหลากหลายทำให้ KIDO เป็นวันสตอปชอปของสถาบันพัฒนาเด็กเล็กไปโดยปริยาย
สำหรับหลักสูตรของ KIDO จะแบ่งตามอายุและพัฒนาการของเด็ก โดยเด็กตั้งแต่ 3 เดือนถึง 1 ขวบครึ่งจะมีหลักสูตรให้เลือก 1 หลักสูตรคือ Gym & Play ในขณะที่ 1 ขวบครึ่งถึง 3 ขวบจะมีโปรแกรมGym & Play, Music & More และ Arts & Crafts แต่หากเป็นเด็กตั้งแต่ 3-6 ขวบจะสามารถเลือกได้ทุกโปรแกรมและจะมีโปรแกรมเพิ่มขึ้นมาคือ Arts & Cooking และ Science & Numbers
"เรามองว่าสถาบันพัฒนาเด็กเล็กที่มีอยู่ในตลาดเป็นกิจกรรมที่ค่อนข้างเฉพาะ แต่เราอยากได้ที่มีความยืดหยุ่นเพื่อให้เด็กที่มาเรียนเขาได้มีโอกาสในการเลือกเรียน อย่างที่ Kido ถ้าเป็นเด็กอายุ 1 ขวบครึ่งถึง 3 ขวบจะมีโปรแกรมเพิ่มให้เด็กได้เลือกตามความสนใจ และตามความพอใจของพ่อแม่ หรือพออายุเกิน 3 ขวบก็จะมีโปรแกรมใหม่ให้เลือกอีกสองโปรแกรม"
ส่วนกลุ่มเป้าหมายจะมองไปที่กลุ่มตลาดเอถึงบีบวกทีอยู่แถวพระราม 3 โดยค่าสมาชิกรายปี 2,300 บาท ค่าสมาชิกจากปัจจุบันจนถึงอายุ 6 ปี 3,9000 บาท ค่าเรียนโปรแกรมเริ่มตั้งแต่ 3,300-4,900 บาทสามารถลงเรียนได้ 10 ครั้งต่อโปรแกรม อย่างไรก็ดี KIDO ไม่มีการใช้กลยุทธ์ในเรื่องของการลดราคาโปรแกรม แต่อาจจะมีการใช้วิธีกระตุ้นสมาชิกบางครั้งแต่จะไม่เน้นการแข่งขันในเรื่องของราคา
วริษ กล่าวถึงแผนการขยายตัวของ KIDO ว่าจะแบ่งเป็น 3 ระดับคือ เฟสแรกขยายสาขาในกรุงเทพฯ เพื่อให้เป็นที่รู้จักของตลาดก่อนโดยในปีนี้จะขยายสาขาเพิ่ม 1-2 สาขาและคาดว่าจะมีสาขาในกรุงเทพฯ 6 สาขาภายใน 5 ปีโดยจะเป็นสาขาแฟรนไชส์ทั้งหมด เฟสสองขยายสาขาไปต่างจังหวัดโดยจะขยายไปยังจังหวัดใหญ่ๆ ก่อน อย่างไรดี หากช่องว่างของตลาดต่างจังหวัดกับกรุงเทพฯ ลดลงเชื่อว่าการเติบโตของตลาดต่างจังหวัดจะมากกว่ากรุงเทพฯ และเฟสสามคือ KIDO จะเข้าไปโคโปรแกรมกับโรงเรียนต่างๆ ซึ่งในเฟสสามนี้ถ้าทำจะต้องไม่ไปขัดผลประโยชน์กับแฟรนไชซีของ KIDO
ด้านความแตกต่างของ KIDO กับศูนย์พัฒนาการเด็กเล็กรายอื่นนั้น คือ 1.KIDO มีความยืดหยุ่นสูงเนื่องจากเป็นของผู้ประกอบการไทยในขณะที่ของแบรนด์อื่นเป็นหลักสูตรจากต่างประเทศ 2.แผนธุรกิจมีความแตกต่างจากคนอื่น เนื่องจากใช้มาตรฐานของต่างประเทศซึ่งเขาพร้อมเป็นที่ปรึกษาให้กับ KIDO มาตลอด 3.อุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนเป็นอุปกรณ์ที่ปลอดภัยทั้งเรื่องคุณภาพและสีสัน 4.KIDO จะแบ่งการเรียนของเด็กตามลักษณะพัฒนาการของเด็ก เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน และ 5.ครูของ KIDO เกินกว่าครึ่งต้องจบการศึกษาที่เกี่ยวกับเด็ก อย่างคุรุประถมวัย
สำหรับความต้องการสถาบันพัฒนาเด็กเล็กในปัจจุบันนั้นตนเชื่อว่าตลาดมีความซับซ้อนมากขึ้นและยังไปได้อีกไกล เนื่องจากพ่อแม่เริ่มเห็นความสำคัญของการศึกษาก่อนวัยเรียน นอกจากนี้พ่อแม่มองว่าการให้ลูกเรียนตามสถาบันพัฒนาเด็กเล็กเป็นการลงทุนให้กับลูก ส่วนการแข่งขันในสถาบันเด็กเล็กคู่แข่งสามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ 1.คู่แข่งที่เป็นลักษณะแฟรนไชส์ ซึ่งคู่แข่งกลุ่มนี้ต้องทำตามขั้นตอนของบริษัทแม่ทุกอย่าง และ 2.คู่แข่งที่เกิดจากการสร้างแบรนด์เองซึ่งจะมีความยืดหยุ่นที่สูง ซึ่งการแข่งขันในตลาดสถาบันเด็กเล็กถือว่ามีการแข่งขันที่สูงเนื่องจากพ่อแม่มีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาการเด็กมากขึ้น คาดว่าในตลาดมีสถาบันพัฒนาเด็กเล็กประมาณ 5 แบรนด์
วริษ วัฒนคุณ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาเด็กเล็กแบรนด์ KIDO กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของธุรกิจ KIDO เกิดจากแนวคิดที่ต้องการมีธุรกิจของตนเอง โดยขณะนั้นการทำสถาบันพัฒนาเด็กเล็กมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือ 1.การซื้อแฟรนไชส์สถาบันพัฒนาเด็กเล็กจากต่างประเทศเข้ามาบริหาร และ 2.คิดโปรแกรมเพื่อทำสถาบันพัฒนาเด็กเล็กขึ้นมาเอง ซึ่งตนเลือกที่จะทำขึ้นเองเนื่องจากความเชื่อของเรื่องสถาบันพัฒนาเด็กเล็กที่มีอยู่ในตลาดไม่ตรงกับความเชื่อของตน จึงเดินไปหาซื้อโปรแกรมของสถาบันพัฒนาเด็กเล็กที่ต่างประเทศด้วยตนเอง
โดยเป็นการนำเฉพาะโปรแกรมเข้ามาจากต่างประเทศมิได้นำแบรนด์เข้ามาด้วย อย่างไรก็ดี ในการเข้าตลาดช่วงแรก KIDO ยังได้รับคำปรึกษาจากเจ้าของโปรแกรมอย่างต่อเนื่อง และเมื่อธุรกิจเริ่มนิ่งบริษัทก็ขยายโปรแกรมเพิ่มขึ้นต่อไป โดยโปรแกรมที่ขยายจะดูจากความต้องการของเด็กและการรับคำปรึกษาจากต่างประเทศนำมาปรับใช้
อย่างไรก็ดี โปรแกรมที่นำเข้ามาจะต้องเป็นโปรแกรมที่ให้ทั้งการเล่นและการเรียนรู้ไปด้วยกันได้ นอกจากนี้ โปรแกรมยังต้องมีความยืดหยุ่น และต้องเป็นโปรแกรมที่สามารถตอบสนองความต้องการของพ่อแม่ที่มีพฤติกรรมไม่เหมือนกันได้ อย่างไรก็ดี การที่ KIDO มีโปรแกรมให้เลือกหลากหลายทำให้ KIDO เป็นวันสตอปชอปของสถาบันพัฒนาเด็กเล็กไปโดยปริยาย
สำหรับหลักสูตรของ KIDO จะแบ่งตามอายุและพัฒนาการของเด็ก โดยเด็กตั้งแต่ 3 เดือนถึง 1 ขวบครึ่งจะมีหลักสูตรให้เลือก 1 หลักสูตรคือ Gym & Play ในขณะที่ 1 ขวบครึ่งถึง 3 ขวบจะมีโปรแกรมGym & Play, Music & More และ Arts & Crafts แต่หากเป็นเด็กตั้งแต่ 3-6 ขวบจะสามารถเลือกได้ทุกโปรแกรมและจะมีโปรแกรมเพิ่มขึ้นมาคือ Arts & Cooking และ Science & Numbers
"เรามองว่าสถาบันพัฒนาเด็กเล็กที่มีอยู่ในตลาดเป็นกิจกรรมที่ค่อนข้างเฉพาะ แต่เราอยากได้ที่มีความยืดหยุ่นเพื่อให้เด็กที่มาเรียนเขาได้มีโอกาสในการเลือกเรียน อย่างที่ Kido ถ้าเป็นเด็กอายุ 1 ขวบครึ่งถึง 3 ขวบจะมีโปรแกรมเพิ่มให้เด็กได้เลือกตามความสนใจ และตามความพอใจของพ่อแม่ หรือพออายุเกิน 3 ขวบก็จะมีโปรแกรมใหม่ให้เลือกอีกสองโปรแกรม"
ส่วนกลุ่มเป้าหมายจะมองไปที่กลุ่มตลาดเอถึงบีบวกทีอยู่แถวพระราม 3 โดยค่าสมาชิกรายปี 2,300 บาท ค่าสมาชิกจากปัจจุบันจนถึงอายุ 6 ปี 3,9000 บาท ค่าเรียนโปรแกรมเริ่มตั้งแต่ 3,300-4,900 บาทสามารถลงเรียนได้ 10 ครั้งต่อโปรแกรม อย่างไรก็ดี KIDO ไม่มีการใช้กลยุทธ์ในเรื่องของการลดราคาโปรแกรม แต่อาจจะมีการใช้วิธีกระตุ้นสมาชิกบางครั้งแต่จะไม่เน้นการแข่งขันในเรื่องของราคา
วริษ กล่าวถึงแผนการขยายตัวของ KIDO ว่าจะแบ่งเป็น 3 ระดับคือ เฟสแรกขยายสาขาในกรุงเทพฯ เพื่อให้เป็นที่รู้จักของตลาดก่อนโดยในปีนี้จะขยายสาขาเพิ่ม 1-2 สาขาและคาดว่าจะมีสาขาในกรุงเทพฯ 6 สาขาภายใน 5 ปีโดยจะเป็นสาขาแฟรนไชส์ทั้งหมด เฟสสองขยายสาขาไปต่างจังหวัดโดยจะขยายไปยังจังหวัดใหญ่ๆ ก่อน อย่างไรดี หากช่องว่างของตลาดต่างจังหวัดกับกรุงเทพฯ ลดลงเชื่อว่าการเติบโตของตลาดต่างจังหวัดจะมากกว่ากรุงเทพฯ และเฟสสามคือ KIDO จะเข้าไปโคโปรแกรมกับโรงเรียนต่างๆ ซึ่งในเฟสสามนี้ถ้าทำจะต้องไม่ไปขัดผลประโยชน์กับแฟรนไชซีของ KIDO
ด้านความแตกต่างของ KIDO กับศูนย์พัฒนาการเด็กเล็กรายอื่นนั้น คือ 1.KIDO มีความยืดหยุ่นสูงเนื่องจากเป็นของผู้ประกอบการไทยในขณะที่ของแบรนด์อื่นเป็นหลักสูตรจากต่างประเทศ 2.แผนธุรกิจมีความแตกต่างจากคนอื่น เนื่องจากใช้มาตรฐานของต่างประเทศซึ่งเขาพร้อมเป็นที่ปรึกษาให้กับ KIDO มาตลอด 3.อุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนเป็นอุปกรณ์ที่ปลอดภัยทั้งเรื่องคุณภาพและสีสัน 4.KIDO จะแบ่งการเรียนของเด็กตามลักษณะพัฒนาการของเด็ก เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน และ 5.ครูของ KIDO เกินกว่าครึ่งต้องจบการศึกษาที่เกี่ยวกับเด็ก อย่างคุรุประถมวัย
สำหรับความต้องการสถาบันพัฒนาเด็กเล็กในปัจจุบันนั้นตนเชื่อว่าตลาดมีความซับซ้อนมากขึ้นและยังไปได้อีกไกล เนื่องจากพ่อแม่เริ่มเห็นความสำคัญของการศึกษาก่อนวัยเรียน นอกจากนี้พ่อแม่มองว่าการให้ลูกเรียนตามสถาบันพัฒนาเด็กเล็กเป็นการลงทุนให้กับลูก ส่วนการแข่งขันในสถาบันเด็กเล็กคู่แข่งสามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ 1.คู่แข่งที่เป็นลักษณะแฟรนไชส์ ซึ่งคู่แข่งกลุ่มนี้ต้องทำตามขั้นตอนของบริษัทแม่ทุกอย่าง และ 2.คู่แข่งที่เกิดจากการสร้างแบรนด์เองซึ่งจะมีความยืดหยุ่นที่สูง ซึ่งการแข่งขันในตลาดสถาบันเด็กเล็กถือว่ามีการแข่งขันที่สูงเนื่องจากพ่อแม่มีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาการเด็กมากขึ้น คาดว่าในตลาดมีสถาบันพัฒนาเด็กเล็กประมาณ 5 แบรนด์