xs
xsm
sm
md
lg

ENPOแนะรัฐ สร้างองค์รวมSMEวันสต็อปเซอร์วิสทุกจังหวัด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สำนักงานส่งเสริมเครือข่ายผู้ประกอบการ ENPO แนะรัฐ สร้างองค์รวมของการส่งเสริมเอสเอ็มอี โดยนำ 20 องค์กรส่งเสริมเอสเอ็มอี รวมเป็นหนึ่งเดียว และเปิดให้บริการทุกจังหวัด เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงได้ง่าย พร้อมเตือนธุรกิจพึ่งระวังในปี 2549 ค้าส่ง ค้าปลีก ธุรกิจนม เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องหนัง ของเล่นเด็ก และสถานีบริการน้ำมัน

นายอารักษ์ ราษฎร์บริหาร Chief Financial Officer การรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวในการแถลงข่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค และโอกาสของธุรกิจเอสเอ็มอี ในปี 2549 ที่จัดโดยสำนักงานส่งเสริมเครือข่ายผู้ประกอบการ (ENPO) ว่า จากผลการศึกษาการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอี และบทบาทและหน้าที่การทำงานของภาครัฐ เกี่ยวกับการส่งเสริมเอสเอ็มอี ยังขาดการบูรณาการแบบองค์รวม ซึ่งปัจจุบัน หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแล เกี่ยวกับการส่งเสริมเอสเอ็มอี มีถึง 20 องค์กร แต่ทั้ง 20 องค์กรไม่เคยเชื่อมโยงกันเลย ต่างคนต่างทำงาน บางครั้งจะออกมาเป็นในลักษณะของการแข่งขันกันมากกว่า

ปัญหาที่ตามมาก็คือ ผู้ประกอบการที่จะมาขอรับความช่วยเหลือ จะต้องเดินทางติดต่อกับหน่วยงานต่างๆ หลายขั้นตอนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือครบตามความต้องการ แทนที่จะเดินทางมาที่เดียว และจบภายในวันเดียว ก็ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น จึงมีข้อเสนอแนะ ว่าภาครัฐ ควรที่จะ สร้างองค์รวมของการส่งเสริมเอสเอ็มอี ถ้าเป็นไปได้ ควรที่จะมีในลักษณะของ วันสต็อป เซอร์วิส นำทั้ง 20 องค์กรมารวมกันไว้แห่งเดียว และเปิดให้บริการในทุกจังหวัด เพื่อสร้างความสะดวกแก่ผู้มาติดต่อ ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และโอทอป เข้าถึงหน่วยงานต่างๆ เหล่านี้ ได้ง่ายขึ้น เชื่อว่าการพัฒนา เอสเอ็มอี และโอทอป จะไปได้ไกลกว่านี้

ปัจจุบัน หน่วยงานของภาครัฐที่ส่งเสริมเอสเอ็มอี ประกอบไปด้วย ส่งเสริมการลงทุน บีโอไอ , สสว. พัฒนาเทคโนโลยี NECTEC, สวทช., มหาวิทยาลัย, วิทยาลัยอาชีวะ การพัฒนาการผลิต สถาบันเพิ่มผลผลิตฯ, สมอ., ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม , สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ การส่งเสริมการขาย กรมส่งเสริมการส่งออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย SME BANK , ธกส., EXIM Bank , บสย., สำนักงานบริหารการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน การฝึกอบรม สถาบันพัฒนา SME , กระทรวงพาณิชย์ , กระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งหมด 20 องค์กร

นายอารักษ์ กล่าวถึงแนวโน้มของธุรกิจที่พึ่งระวัง ในปี 2549 นี้ ประกอบด้วย ธุรกิจค้าส่ง และค้าปลีก ซึ่งการรุกเข้าไปของธุรกิจค้าปลีก และค้าส่งขนาดใหญ่ ที่ขยายตัวเข้าไปสู่ชุมชนขนาดเล็กและรากหญ้า มากขึ้น ส่งผลกระทบผู้ประกอบการค้าส่งและค้าปลีก ซึ่งไม่สามารถสู้ในเรื่องการบริหารต้นทุนราคาได้ ธุรกิจนมและผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากที่รัฐ เปิดเสรีการค้า หรือ FTA ส่งผลกระทบกับธุรกิจนมโดยตรง เพราะแหล่งผลิตนมขนาดใหญ่ และเป็นที่ยอมรับ ไม่ใช่มาจากประเทศไทย เมื่อเปิดเสรีการค้า นมจากแหล่งผลิตขนาดใหญ่อย่างนิวซีแลนด์ จะเข้ามาขายในราคาที่ถูกลง การยอมรับคุณภาพผู้บริโภคมีมากกว่า

นอกจากนี้ ธุรกิจเสื้อผ้าสำเร็จรูป ซึ่งสินค้าจากประเทศจีน มีต้นทุนค่าแรงที่ต่ำกว่า ทำให้สามารถขายราคาที่ถูกกว่า เข้ามาตีตลาดไทย และรวมถึงเครื่องหนัง และของเล่นเด็ก ปัจจุบัน ไม่ว่าเราจะไปซื้อของเล่นที่ไหนส่วนใหญ่จะผลิตจากประเทศจีน เกือบทั้งนั้น และธุรกิจที่พึ่งระวัง อีกตัวหนึ่ง คือ สถานีบริการน้ำมัน เพราะความผันผวนของราคาน้ำมัน และการแข่งขันในตลาดสถานีบริการน้ำมันมีสูงมากขึ้นจะเห็นว่า สถานีบริการน้ำมันที่จะอยู่ได้จะมีบริการเสริมอื่นๆ อย่างเช่น ร้านกาแฟ มินิมาร์ท ล้างรถ ซ่อมรถ ทำให้สถานีบริการน้ำมันเดี่ยวๆ จะอยู่ไม่ได้

ข้อเสนอแนะ สิ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการ คือ การบริหารต้นทุนของสินค้า ได้แก่ ค่าแรงงาน ต้องหาแรงงานที่มีฝีมือ ค่าพลังงาน มีมาตรการในการลดการใช้พลังงาน การจัดเก็บสินค้า และการขนส่ง (Logistics)ผู้ประกอบการรวมกัน เกิดการเชื่อมโยการขนส่งไปด้วยกัน ค่าโฆษณา ประชาสัมพันธ์ แทนที่จะโฆษณาผ่านทีวีหว่านไปทั่ว ก็มาทำโฆษณา แบบตรงกลุ่มเข้าเป้าหมาย เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง

นอกจากนี้ เรื่องของบรรจุภัณฑ์ ที่ออกแบบให้สะดวกแก่การขนส่ง ช่วยประหยัดต้นทุนการขนส่งได้ และมีเรื่องดอกเบี้ย และความผันผวนของเงินตราต่างประเทศ ที่ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี ในช่วงที่ภาวะดอกเบี้ย มีการปรับตัวสูงขึ้น และเงินตราต่างประเทศมีความผันผวน ส่งผลกระทบต่อการบริหารต้นทุนของสินค้า
กำลังโหลดความคิดเห็น