คำว่าประสบสำเร็จ คงไม่เกินไปถ้าจะใช้กับธุรกิจ “ขนมจีนน้อมจิตต์ เส้นสด” ซึ่งนำแนวทางยกระดับอาหารข้างทางให้หรู เพิ่มความมั่นใจแก่ผู้บริโภคอย่างได้ผล รวมถึงสร้างจุดเด่นอื่นๆ อาทิ เกาะกระแสรักสุขภาพ และขยายตลาดอย่างเหมาะสม กลายเป็นสูตรสำเร็จจากจุดเล็กๆ ที่น่าติดตาม
เอสเอ็มอีรายนี้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2536 ที่ศูนย์การค้าน้อมจิตต์ (ทุกวันนี้ คือ N Mart Plaza) โดยการริเริ่มของ ชัชวาลย์ มัททวีวงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีเอ็ม บาร์ซิ่ง ฟู้ดซ็อป จำกัด เจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ขนมจีนสัญชาติไทยในปัจจุบัน
“ตอนนั้น กิจการห้างน้อมจิตต์ไม่ดีนัก จึงเปิดให้คนภายนอกเช่าพื้นที่เปล่าประมาณ 400 ตารางเมตร ซึ่งผมเห็นว่าพอจะมีทางทำธุรกิจได้ เลยชวนเพื่อนๆ มาเข้าหุ้น เปิดขายอาหาร แต่ช่วงนั้น เดอะมอลล์ โลตัส ยังไม่เปิด ขายไม่ได้เลย หุ้นส่วนเลยขอแยกตัว เหลือผมคนเดียว ทำให้ผมต้องมาคิดว่า พื้นที่ 400 ตารางเมตรนี้ จะเอาไปทำอะไรต่อดี ทำให้ผมคิดย้อนไปช่วงเรียนอยู่ ม.รามฯ แถวนั้น จะมีร้านขนมจีน ขายอยู่หลายร้าน แต่ละร้านก็ขายดี และครอบครัวมีธุรกิจทำเส้นขนมจีนด้วย จึงเกิดความคิดเปิดร้านขนมจีน แต่ตกแต่งรูปแบบใหม่ให้ดูดีขึ้น”
การตัดสินใจครั้งนั้น ได้ผลตอบรับเกินคาด ธุรกิจขนมจีนขายดีขึ้นตามลำดับ และยิ่งเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น เมื่อเขาไปอบรมการผลิตเส้นขนมจีนกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และนำเครื่องผลิตเส้นขนมจีนมาใช้กับร้าน ที่นอกจากจะช่วยลดต้นทุน ยังสร้างจุดเด่นให้ลูกค้าเห็นขั้นตอนการทำขนมจีนสดๆ ด้วยตัวเอง ทำให้มั่นใจว่า กินขนมจีนที่ผลิตใหม่ ไม่ต้องกลัวท้องเสีย สำหรับกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของร้าน คือ คนระดับกลาง เป็นผู้หญิงกว่า 70% อยู่ในช่วงอายุ 13-45 ปี มีทั้งเป็นนักเรียน นักศึกษา และพนักงานบริษัท
นอกจากนี้ ยังสร้างจุดเด่นอีกหลายด้าน อาทิ มีทางเลือกหลากหลาย จากน้ำยา 7 ชนิด อาทิ เขียวหวาน ไตปลา กะทิใต้ กะทิป่า เป็นต้น และจะออกรสต้มยำในเร็วๆนี้ ส่วนประกอบหลักในการปรุงน้ำยา จะใช้ปลาทู เพราะรสชาติดี และยังจับกลุ่มผู้รักสุขภาพได้ด้วย อีกทั้ง เส้นขนมจีนเติมชาเขียว และแครอทลงไปทำให้มีสีสัน ด้านรูปแบบเน้นบริการตัวเอง ซึ่งเหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคอาหารเมนูนี้
เจ้าของธุรกิจ เผยถึงหลักการขยายสาขา จะนำเฉพาะกำไรมาใช้ จึงไม่มีปัญหาเงินทุนหมุนเวียน นอกจากนี้ ขยายในรูปแบบแฟรนไชส์ควบคู่ไปด้วย ซึ่งปัจจุบัน เปิดไปแล้วทั้งสิ้น 35 สาขา เป็นของบริษัทเอง 25 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ 10 สาขา เน้นทำเลในห้างสรรพสินค้าภายในกรุงเทพฯ
ระบบการควบคุมคุณภาพของแต่ละสาขา เส้นขนมจีนจะส่งจากโรงงานส่วนกลาง ในขณะที่การปรุงน้ำยาต่างๆ ก็จะมีสูตรตายตัว แบบตวงวัด ทำให้รสชาติเหมือนกันทุกสาขา ส่วนวัตถุดิบเนื้อสัตว์ และผัก รับโดยตรงจากเกษตรกร โดยมีได้เปรียบที่สั่งจำนวนมาก ทำให้ได้ของสดใหม่ และราคาถูก
ในส่วนของการเปิดแฟรนไชส์นั้น แยกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.แบบประหยัด เป็นการสั่งซื้อน้ำยากึ่งสำเร็จรูปไปขาย โดยจะมีป้ายประกันคุณภาพน้ำยาจากบริษัท ลงทุน 5,000 บาท 2. แบบมาตรฐาน ลงทุน 70,000 บาท มีคีออส พร้อมอุปกรณ์ ยกเว้นเครื่องผลิตเส้นสด และ 3. แบบเต็มรูปแบบ ลงทุน 120,000 บาท ซึ่งระยะเวลาคืนทุนขึ้นอยู่กับทำเล แต่ตัวอย่างจากร้านต้นแบบใน N Mart Plaza ซึ่งเป็นสาขาขายดีที่สุด รายได้เฉลี่ย 30,000 บาท/ วัน ทั้งนี้ ต่อจานมีกำไรประมาณ 40% จากราคาขายปลีก 25-30 บาท/จาน
อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ที่เห็นบทเรียนของแฟรนไชส์อาหารหลายรายล้มเหลว เพราะคุ้มคุณภาพไม่ได้ ทำให้ไม่เน้นจะขยายแฟรนไชส์มากนัก แต่จะคัดจนได้ผู้มีความตั้งใจจริงๆ ซึ่งจากแนวคิดนี้ ทำให้ตั้งแต่ขยายสาขาออกไป ยังไม่มีสาขาใดที่ต้องล้มกิจการ
“เราไม่ได้ทำธุรกิจแบบตีหัวเข้าบ้าน แค่ขายแฟรนไชส์ได้ รอดไม่รอด ไม่สน แต่ผมมีเป้าหมายเป็น TOP OF MIND หนึ่งในใจลูกค้า เมื่อนึงถึงร้านขนมจีนแท้จริง ต้องนึกถึงชื่อเรา”
ด้านผลประกอบการเมื่อปี 2548 ที่ผ่านมา รวมกว่า 40 ล้านบาท และเป้าสำหรับปีนี้ (2549) ตั้งไว้ว่าจะโตอีก 30% หรือ ประมาณ 60 ล้านบาท โดยแผนขยายธุรกิจ จะเพิ่มสาขาด้วยตัวบริษัทเอง แบบคีออส อีก 20-25 สาขา และแบบร้านเต็มรูปแบบ 5 สาขา เน้นครอบคลุมพื้นที่ย่านธุรกิจทั่วกรุงเทพฯ ส่วนแฟรนไชส์ ไม่ได้กำหนดเป้า เพราะต้องการคัดเลือกผู้ร่วมธุรกิจเหมาะสมจริงๆ
นอกจากนี้ มีแผนจะผลิตน้ำยาขนมจีนกระป๋อง โดยจับกลุ่มงานเลี้ยง ตั้งแต่ 20 คนขึ้นไป ให้สามารถทำขนมจีนได้สะดวก รวดเร็ว คาดจะออกตลาดได้ปลายปีนี้
ส่วนอุปสรรคของธุรกิจ อยู่ที่เส้นขนมจีน เก็บไว้ได้ 5 วัน ทำให้ไม่สามารถขยายธุรกิจออกไปตามต่างจังหวัดไกลๆ หรือขยายแฟรนไชส์ให้แก่คนไทยในต่างแดนที่สนใจร่วมธุรกิจมาก ขณะนี้ จึงพยายามศึกษาวิจัยถึงความเป็นไปได้ที่จะทำเส้นขนมจีนเก็บได้นานขึ้น อย่างน้อย 1 เดือน
เมื่อถามถึงคู่แข่งแฟรนไชส์ขนมจีน ชัชวาสย์ บอกว่า ยังไม่มีเจ้าใดเป็นคู่แข่งโดยตรงอย่างชัดเจน แต่มีรายใหม่ๆ เกิดขึ้นจำนวนมาก และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกมาก แต่มองในแง่ดีว่า เป็นการช่วยกระตุ้นตลาดของธุรกิจนี้ให้คึกคัก และผลประโยชน์สูงสุดจะตกเป็นของผู้บริโภค