xs
xsm
sm
md
lg

'เคที เรสทัวรองท์' แจ้งเกิด 'มิสเตอร์เหม็ง' แฟรนไชส์เมนูติ่มซำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หลังจากที่ "เคที เรสทัวรองท์" ประสบความสำเร็จจากการขายแฟรนไชส์ร้านเสต็ก "ซานตา เฟ่" ในไทยและ "ครัวไท" ในต่างประเทศ ในปี 2549 "เคพี เรสทัวรองท์" พร้อมใจเปิดขายแฟรนไชส์น้องใหม่ “มิสเตอร์เหม็ง” อาหารจีนประเภทติ่มซำนึ่งสดและหม้อดินหวังเป็นทางเลือกของผู้นิยมบริโภคอาหารจีนเพราะเห็นว่าตลาดอาหารจีนมีการเติบโตทุกปี

พร้อมเปิดตัวขายแฟรนไชส์ "ครัวไท" ครั้งแรกในไทยหลังจากที่ไปประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศ วางอนาคตบริษัทจะซื้อแฟรนไชส์จากต่างประเทศเข้ามาเปิดหวังเป็นการแลกเปลี่ยนโนฮาว
สุรชัย ชาญอนุเดช กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด
"มิสเตอร์เหม็ง” ทางเลือกใหม่อาหารจีน

สุรชัย ชาญอนุเดช กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อราว 3-4 เดือนที่ผ่านมา ได้เปิดแฟรนไชส์มิสเตอร์เหม็ง เป็นอาหารจีนติ่มซำแบบนึ่งสด และอาหารประเภทหม้อดินเนื่องจากติ่มซำเป็นอาหารที่คนไทยรู้จักมานานและเป็นอาหารที่หาทานได้ง่ายภายใต้คอนเซ็ปท์เร็วและลูกค้าต้องมีส่วนร่วม

"คือทีมบริหารยังเป็นทีมของเคที เรสทัวรองท์อยู่ ซึ่งตรงนี้มั่นใจได้เลยว่ามิสเตอร์เหม็งไม่ใช่การโตแบบฉาบฉวย แต่เรามองผลในระยะยาวช่วงแรกเราต้องทำให้ลูกค้าพึ่งพอใจและต้องทำให้คอนเซ็ปท์เป็นที่ติดตลาดก่อน อย่างโต๊ะจีนมันไม่ตอบโจทย์เพราะวัฒนธรรมตอนนี้การจะรวมกลุ่มกันไปกินกลุ่มใหญ่ๆ ทำได้ยากขึ้นครอบครัวและสังคมเล็กลงซึ่งตรงนี้ตอบโจทย์ได้เลยว่าอาหารจีนที่เราจะทำต้องเป็นอาหารจีนที่ค่อนข้างเป็นเทรนดี้หน่อย และต้องเข้ากับยุคเข้ากับสไตล์คือดูทันสมัย"

ปัจจุบันมิสเตอร์เหม็งเปิดให้บริการไปแล้ว 3 สาขา คือที่สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์, เดอะมอลล์ บางกะปิ และโลตัสบางกะปิ เนื่องจากต้องการสร้างความรู้จักกับกลุ่มผู้บริโภครอบนอกก่อน โดยมิสเตอร์เหม็งจะจับกลุ่มลูกค้าระดับบีอายุ 15-35 ปี เพราะกลุ่มดังกล่าวมีโอกาสในการเข้ามาเดินในห้างสรรพสินค้าสูง และกลุ่มคนระดับกลางมีรสนิยมในการทานอาหารที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับโอกาสในการลงทุนธุรกิจมิสเตอร์เหม็งนั้น “สุรชัย” เชื่อว่า เป็นโอกาสที่ดีเนื่องจากเป็นการลงทุนที่ไม่สูงจนเกินไปหากเทียบกับการซื้อแฟรนไชส์ที่มีระบบ นอกจากนี้ การที่ห้างสรรพสินค้าที่มิสเตอร์เหม็งเข้าไปเปิดได้นั้นเป็นห้างที่มีความเป็นมืออาชีพอยู่แล้วทางห้างต้องมีการสกรีนอยู่แล้วกลุ่มผู้ลงทุนจึงน่าจะมั่นใจได้

โดยการเปิดสาขาของมิสเตอร์เหม็งจะเน้นการขยายสาขาตามห้างสรรพสินค้าและตามตึกสำนักงานเป็นหลัก เนื่องจากสามารถอำนวยความสะดวกกับลูกค้าได้ง่ายกว่า ส่วนสแตนอโลนบริษัทไม่เน้นแต่หากมีก็คงน้อยมากคงจะอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ อย่างสีลม

ด้านการสร้างแบรนด์ของมิสเตอร์เหม็งนั้นในปี 2549 บริษัทจะใช้การเปิดสาขาเพื่อให้ลูกค้าเห็นโดยในปี 2549 จะเปิดสาขาของตัวเอง 8 สาขา และสาขาแฟรนไชส์อีก 5 สาขารวมกับสาขาที่มีอยู่ในปีนี้เป็น 16 สาขาซึ่งมีสาขาแฟรนไชส์ที่จองพร้อมเปิดในปีหน้าแล้ว 1 สาขาอยู่ที่หัวหินมาร์เก็ตวิลเลจ และในปี 2550 จะเปิดสาขาแฟรนไชส์และสาขาของบริษัทเพิ่มอีก 20 แห่ง ส่วนในปี 2551 จะมีการสร้างแบรนด์ผ่านทางสื่อแมสมีเดีย

ส่วนเงินลงทุนมิสเตอร์เหม็งราคาค่าแฟรนไชส์อยู่ที่ 2 ล้านบาทต่อหนึ่งสาขา โดยบริษัทจะเข้าไปช่วยดูแลทุกอย่างให้ทั้งการหาสถานที่และอุปกรณ์ เนื่องจากบริษัทเชื่อว่าแฟรนไชซอร์สามารถเข้าใจพื้นที่ได้มากกว่าแฟรนไชซี นอกจากนี้ยังมีการวางระบบร้านและการฝึกอบรมไว้ให้ ซึ่งจะต้องใช้พื้นที่ประมาณ 100 ตารางเมตร ประมาณการณ์คืนทุนไว้ที่ 2 ปีครึ่ง โดยแฟรนไชซีไม่ใช่แค่เพียงมีเงินในการลงทุนแต่ต้องมีความเป็นนักลงทุนด้วยนอกจากนี้ยังต้องรักษาระบบมาตรฐานของบริษัทไว้ด้วย

สุรชัย กล่าวต่อว่า สำหรับกระแสความนิยมในการทานอาหารจีนนั้นพึ่งเริ่มกลับมานิยมเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากที่ผ่านมาเจอภาวะเศรษฐกิจทำให้การกินโต๊ะจีนลดน้อยลง อย่างไรก็ดีการที่ตลาดเริ่มกลับมาเป็นที่นิยมเหมือนเดิมเพราะผู้ประกอบบางรายเริ่มมีปรับขนาดของการทานอาหารบนโต๊ะจีนให้ย่อขนาดลงจากอาหาร 10 อย่างต่อโต๊ะก็เหลือ 4-5 อย่างต่อโต๊ะ นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งร้านที่ทันสมัยขึ้นเพื่อให้ตอบรับกับเทรนด์ของตลาด ซึ่งบริษัทเชื่อว่าตลาดอาหารจีนนั้นเชื่อว่ายังคงไปได้เรื่อยๆ อีก 10-20 ปีทั้งนี้อยู่ที่การสร้างแบรนด์ของแต่ละแบรนด์มากกว่า เนื่องจากต่อไปตลาดจะมองเรื่องของแบรนด์มากขึ้นหากเป็นร้านโนเนมโอกาสที่ลูกค้าจะยอมรับก็เป็นไปได้ยาก

อย่างไรก็ตามแม้ว่าผู้ประกอบการบางรายจะมีการปรับตัวจากในอดีตมากขึ้นแต่ปัจจุบันผู้ประกอบการจะต้องสามารถบอกได้ด้วยว่าร้านของตนเองเป็นร้านอาหารจีนที่เชี่ยวชาญด้านไหน? ซึ่งเทรนด์ของตลาดตรงนี้เป็นมา 5 ปีแล้ว และในอีก 3 ปีข้างหน้าจะเห็นเทรนด์ของตลาดตรงนี้ชัดเจน เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนไป อย่างบริษัทก็มีการวางโพซิชั่นนิ่งของมิสเตอร์เหม็งให้เป็นร้านอาหารจีนที่ชำนาญด้านติ่มซำ โดยในแต่ละเดือนจะมีติ่มซำหน้าใหม่ๆ เพิ่มเดือนละ 5 หน้า อย่างกุ้งยัดใส่ราดซุปข้าวโพด นอกจากนี้บริษัทจะมีการพัฒนาหน้าของติ่มซำให้แปลกจากเดิมมากขึ้นซึ่งตรงนี้จะทำให้ราคาในจำหน่ายติ่มซำสูงขึ้นตามไปด้วย อย่างติ่มซำหน้าแกะ

คาดมีการเติบโตขึ้นทุกปีประมาณ 20-30% เนื่องจากปริมาณผู้บริโภคที่มากขึ้นและการเพิ่มมูลค่าเพิ่มของอาหารเพราะติ่มซำเป็นสินค้าที่มีอิสรภาพในการออกแบบเหมือนกับพิซซ่าที่สามารถทำเป็นหน้าต่างๆ ได้หลากหลาย อย่างไรก็ดี ตนเชื่อว่าการทำติ่มซำนึ่งสดมีมานานแล้วเพียงแต่วิธีการขายแตกต่างกันเท่านั้นเองจากเดิมใส่รถเข็นออกมาให้เลือก ปัจจุบันเปลี่ยนไปเป็นผู้บริโภคเป็นผู้เดินไปเลือกของสดแล้วถึงนำไปนึ่ง

ด้านการแข่งขันในตลาดกับร้านติ่มซำในปัจจุบันตนมองว่าเป็นคนละตลาดกันเนื่องจากร้านเหล่านี้เปิดสาขาในลักษณะของสแตนอโลนในขณะที่ของบริษัทเป็นการเปิดสาขาในห้างสรรพสินค้า และเป็นระบบแฟรนไชส์ที่เป็นระบบ นอกจากนี้ บริษัทถือหุ้นโดยกองทุนวรรณ และในปี 2549 บริษัทจะเข้าสู่การเป็นมหาชน อย่างไรก็ตามหากมองถึงคู่แข่งจริงๆ แล้วตนเชื่อว่าคู่แข่งของมิสเตอร์เหม็งเป็นผู้ประกอบการอาหารที่อยู่ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป เนื่องจากอาหารเป็นสินค้าที่สามารถทดแทนกันได้อยู่แล้ว

"ครัวไท"เปิดตัว ขายแฟรนไชส์ครั้งแรกในไทย

นอกจากนี้ในปี 2549 นี้ บริษัทยังพร้อมที่จะเปิดตัวขายแฟรนไชส์ครัวไทอีกหนึ่งแบรนด์ หลังจากที่ครัวไทไปประสบความสำเร็จจากการขายแฟรนไชส์ในต่างประเทศมาแล้ว

สุรชัย กล่าวว่า แฟรนไชส์ครัวไทจะขายในไทยเป็นครั้งแรกในปี 2549 เนื่องจากมีผู้สนใจติดต่อเข้ามาจำนวนมากแม้ว่าครัวไทจะเปิดมานานแล้วแต่ในช่วงแรกบริษัทไม่มีนโยบายที่จะขายเพราะไปเน้นทำตลาดต่างประเทศมากกว่าและบริษัทมองว่าตลาดในไทยก็มีอาหารไทยอยู่มากแทบทุกแห่งอยู่แล้วจึงมองว่าอาจจะทำตลาดได้ลำบาก อย่างไรก็ดีบริษัทเปิดสาขาครัวไทไปแล้ว 14 สาขาและคาดว่าปีหน้าบริษัทจะเปิดสาขาของตัวเองเพิ่มอีก 3 สาขา และเปิดสาขาแฟรนไชส์อีก 3 สาขาการที่ตั้งเป้าสาขาแฟรนไชส์ไว้น้อยเพราะตนมองว่าการขยายสาขาแฟรนไชส์อาหารไทยทำได้ยาก โดยโลเกชั่นในเปิดครัวไทจะเน้นตามห้างสรรพสินค้าเป็นหลักส่วนกลุ่มลูกค้าของครัวไทจะเริ่มตั้งแต่อายุ 18-40 ปีเพราะเป็นกลุ่มที่สนใจในเรื่องของสุขภาพ

ด้านการแข่งขันของธุรกิจอาหารไทยนั้นปัจจุบันถือว่าค่อนข้างจะสูงและมีการตบเท้าเข้ามาของรายใหม่ๆ ค่อนข้างมากขึ้นหากเทียบกับ 4 ปีก่อน ส่วนการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ครัวไทนั้นจะต้องใช้เงินลงทุน 2.5 ล้านบาทต่อ 1 สาขาใช้พื้นที่ 100 ตารางเมตร

"เรามองว่าภาพรวมของร้านอาหารไทย ในช่วงหลังถือว่าหดตัวลงด้วยซ้ำเพราะคนจะไปทานอาหารตามสวนอาหารมากกว่าการทานอาหารในห้าง ดังนั้นคนที่เปิดร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าจะต้องหาจุดยืนของตัวเองให้ได้อย่างครัวไทจุดยืนของเราคือแกงต่างๆ และใช้กลยุทธ์ในเรื่องของคุณภาพ" สุรชัย กล่าวทิ้งท้าย

"ซานตา เฟ่" ต้นแบบระบบแฟรนไชส์

ด้านซานตา เฟ่นั้นถือเป็นระบบแฟรนไชส์ต้นแบบของบริษัทในไทยเนื่องจากเป็นแฟรนไชส์แรกที่บริษัทเปิดขายเมื่อสองปีที่ผ่านมาซึ่งประสบความสำเร็จพอสมควรจนถึงปัจจุบันบริษัทได้ขยายสาขาของบริษัทไปได้ถึง 10 สาขา และสาขาแฟรนไชส์อีก 3 สาขา โดยกลุ่มเป้าหมายของซานตา เฟ่จะจับกลุ่มผู้บริโภคระดับบี อายุ 18-35 ปี ในด้านระบบแฟรนไชส์จะใช้งบในการลงทุน 3-6 ล้านบาทต่อสาขา พื้นที่ 150 ตารางเมตรมุ่งขยายไปตามห้างสรรพสินค้าใช้ระยะเวลาคืนทุน 2 ปีครึ่ง

คาดว่าในปี 2549 จะเปิดเพิ่มได้อีก 6 สาขา ซึ่งขณะนี้มีสาขาที่พร้อมจะเปิดในปีหน้าแล้ว 3 สาขา เนื่องจากการเปิดร้านซานตา เฟ่ต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวก่อนเปิดนานโดยกลยุทธ์ที่บริษัทจะใช้คือเรื่องคุณภาพของรสชาติและมาตรฐาน ด้านตลาดสเต็กในปีนี้ถือว่ามีการเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน

สุรชัย กล่าวต่อว่า นอกจากการขายระบบแฟรนไชส์ทั้ง 3 แบรนด์ที่มีอยู่ในอนาคตบริษัทอาจจะมีการซื้อแฟรนไชส์จากอเมริกาเข้ามาเปิดซึ่งคาดว่าจะเป็นแฟรนไชส์อาหารเนื่องจากบริษัทมีความชำนาญในเรื่องนี้ และการซื้อแฟรนไชส์จากต่างประเทศเข้ามาก็ทำกับเป็นการแลกเปลี่ยนโนฮาวซึ่งกันและกันด้วย ด้านภาพรวมยอดขายของบริษัทคาดว่าปีนี้จะสามารถปิดได้ที่ 180 ล้านบาทจากทั้ง 3 แบรนด์ ส่วนปี 2549 ตั้งเป้าไว้ที่ 300 ล้านบาทซึ่งจะมาจากมิสเตอร์เหม็ง 70 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น