นายสุรสิทธิ์ ประสารปราณ ภาควิชาเทคโนโลยีวัสดุภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) วิทยาเขตหาดใหญ่ เปิดเผยว่า ถ้วยรับน้ำยาง หรือ “จอกยาง” เป็นของที่มีความจำเป็นต่อกระบวนการเก็บเกี่ยวยางพาราเป็นอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณการใช้ถ้วยรับน้ำยางเมื่อคิดตามพื้นที่เพาะปลูกทั่วประเทศประมาณ 12.6 ล้านไร่ โดยเฉลี่ยชาวสวนยางจะปลูกได้ 70 ต้น ต่อพื้นที่เพาะปลูก 1 ไร่ คาดว่ามีความต้องการใช้ถ้วยรองรับน้ำยางไม่ต่ำกว่า 850 ล้านใบ
อีกทั้ง มีแนวโน้มว่าจะสูงยิ่งขึ้น เพราะมีพื้นที่การเพาะปลูกยางพาราขยายตัวสู่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนอ สืบเนื่องจากภาวการณ์ซื้อขายยางมีราคาสูงขึ้นในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ถ้วยรับน้ำยางซึ่งผลิตจากเซรามิกและพลาสติกที่ชาวสวนยางในประเทศไทยนิยมใช้กันอยู่นั้น ค่อนข้างมีปัญหาในเรื่องน้ำหนักมาก ราคาจำหน่ายใบละประมาณ 7 บาท และมีแนวโน้มราคาสูงขึ้นอีก เพราะมีขั้นตอนการผลิตที่ใช้พลังงานมาก
ขณะที่ถ้วยรับน้ำยางซึ่งผลิตจากพลาสติก แม้มีราคาถูกกว่า โดยจำหน่ายใบละ 3 บาท แต่มีน้ำหนักเบา ทำให้ปลิวตามลมในระหว่างที่แขวนไว้กับต้นยาง มีอายุการใช้งานไม่นาน อีกทั้งเมื่อถ้วยรับน้ำยางเสื่อมสภาพก็จะกลายเป็นขยะมลพิษส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในสวนยาง
ดังนั้น การทำวิจัยเรื่องการพัฒนาถ้วยรับน้ำยางโดยน้ำยางธรรมชาติและดินขาว ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จึงเกิดขึ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาถ้วยรับน้ำยางที่มีน้ำหนักเหมาะสม คุณภาพแข็งแรง ราคาถูก และเน้นใช้วัสดุจากท้องถิ่นมาแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ที่สำคัญให้ได้ถ้วยรับน้ำยางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นายสุรสิทธิ์ กล่าวว่า โครงการวิจัยนี้มุ่งเน้นการประยุกต์ใช้น้ำยางพารา ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของภาคใต้มาแปรรูป โดยมีกระบวนการผลิตเชิงเทคนิคคือ การใช้น้ำยางพาราที่ผ่านกระบวนการวัลคาไนซ์ ผสมกับกาวโพลิไวนิลแอลกอฮอล์ ที่มีต้นทุนของกาวไม่แพงนักเป็นตัวเชื่อมประสาน
จากนั้นนำแป้งมันสำปะหลังมาผสมกับสารเสริมแรงคือ ดินขาว แล้วแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน โดยส่วนหนึ่งนำมาเติมด้วยน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส ในปริมาณร้อยละ 80 ของน้ำหนักแป้งมันสำปะหลังผสมดินขาว ผสมให้เข้ากันแล้วเติมสารยึดเหนี่ยวจากยางพาราผสมโพลิไวนิลแอลกอฮอล์ในปริมาณร้อยละ 30 ของน้ำหนักแป้งมันสำปะหลังผสมดินขาว ทำการนวดผสมแล้วนำไปอัดขึ้นรูปด้วยความร้อนและความดันต่อไป
“ผลงานวิจัยขณะนี้พบว่า ถ้วยรับน้ำยางที่ผลิตได้มีความแข็งแรงมาก แต่มีข้อเสียในเรื่องเปอร์เซ็นต์การดูดซึมน้ำสูงอยู่ ต่อมาจึงได้แก้ไขด้วยการเคลือบสารอีพ็อคซี หรือสารป้องกันการดูดซึมน้ำ เมื่อนำมาทดลองใช้บรรจุน้ำยางพาราพบว่า ไม่เพียงใช้งานได้ดีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้น้ำยางที่กรีดได้ไม่ติดแน่นบริเวณก้นถ้วยเหมือนพลาสติก” นายสุรสิทธิ์กล่าวว่า
นักวิจัยจากภาควิชาเทคโนโลยีวัสดุภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มอ.หาดใหญ่ กล่าวด้วยว่า สำหรับราคาของถ้วยรับน้ำยางที่ทำจากยางพารานั้น อยู่ระหว่างราคาของถ้วยพลาสติก กับราคาของถ้วยกระเบื้องเซรามิก
อีกทั้งถ้วยรับน้ำยางที่ผลิตมีการขึ้นรูปจากแม่พิมพ์ ซึ่งถอดแบบจากถ้วยรับน้ำยางที่ผลิตจากเซรามิกเบอร์ 2 ที่ชาวบ้านนิยมใช้ ทำให้มีลักษณะของถ้วยรับน้ำยางเหมือนกัน แต่มีน้ำหนักเบากว่า ถือได้สะดวก ที่สำคัญเมื่อสภาพถ้วยรับน้ำยางเก่าเสื่อมสภาพก็ทุบให้แตก ถ้วยน้ำยางจะย่อยสลายไปเองตามธรรมชาติ
“หากสูตรการผลิตถ้วยรับน้ำยางที่ได้จากการวิจัยจะได้รับการพัฒนาต่อยอดออกไป โดยให้มีกระบวนการผลิตที่รวดเร็ว ผลิตได้ปริมาณครั้งละมากๆ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนต่ำแล้ว ตนเชื่อว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมยางพารา และสามารถนำประยุกต์ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทำให้มีการใช้น้ำยางธรรมชาติมาแปรรูปมากขึ้น ที่สำคัญยังถือเป็นการทดแทนถ้วยรับน้ำยางที่ทำจากพลาสติก ซึ่งไม่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”
สำหรับงายวิจัยการผลิตถ้วยรับน้ำยางพาราชิ้นนี้ มีความเป็นไปได้พอสมควรที่น่าจะมีการต่อยอดนำไปสู่การผลิตในรูปแบบของอุตสาหกรรมอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมขนาดย่อม หรือ SMEs ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าภาคธุรกิจรายใดจะให้ความสนใจหรือไม่ เพราะหากดูปริมาณตามที่จะรองรับแล้วมีความเป็นไปได้สูงมาก หากสามารถทำให้เกษตรกรชาวสวนยางพาราทั่วประเทศหันมายอมรับนวัตกรรมชิ้นใหม่นี้
นายสุรสิทธิ์กล่าวเสริมว่า นอกจากนี้ ตนยังทราบมาว่าเกษตรกรชาวสวนยางพาราทั่วประเทศยังได้ใช้นวัตกรรมใหม่ชิ้นนี้ในรูปแบบที่เกินความคาดหมายด้วย ซึ่งภายหลังที่เกษตรกรทราบก็ได้นำไปใช้เป็นกระถางเพาะชำกล้าไม้ แทนการใช้ถุงพลาสติก และนำไปปลูกต้นไม้ลงดินเลย เพราะย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ จึงได้มีการปรับรูปแบบและขนาดให้ใหญ่ขึ้น เพื่อให้เกษตรกรใช้เป็นกระถางเพาะชำแทนการใช้ถุงพลาสติก หรือเป็นกระถางปลูกต้นไม้
ส่วนการปรับปรุงให้นำมาแทนถ้วยชามสำหรับรับประทานอาหารในชีวิตประจำวันนั้น นายสุรสิทธิ์กล่าวว่า ตนก็มีแนวคิดอยู่เหมือนกัน แต่ต้องคำนึงถึงสารจากน้ำยางพาราที่อาจจะปนเปื้อนออกมากับอาหารได้ จึงต้องใช้เวลาศึกษาอีกระยะหนึ่ง
ด้าน ดร.วราภรณ์ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการโครงการวิจัยแห่งชาติด้านยางพารา สกว. กล่าวว่า ได้นำผลงานดังกล่าวไปเผยแพร่แก่นักวิชาการและเกษตรกร เพื่อให้มีการผลิตและใช้ในประเทศมากขึ้น เพื่อให้ผลงานวิจัยเกิดประโยชน์และทันสถานการณ์กับการพัฒนาการผลิตยางดิบ และผลิตภัณฑ์จากยางพาราในประเทศ พร้อมประกาศให้ผลงานวิจัยถ้วยรับน้ำยางพาราดังกล่าว เป็นผลงานวิจัยดีเด่นประจำปี 2548 แล้วด้วย
นอกจากนี้ สกว.ยังสนับสนุนให้นายสุรสิทธิ์ทำการวิจัยถ้วยรับน้ำยางพาราจากน้ำยางพาราอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านอายุการใช้งานของถ้วยรับน้ำยางพาราชนิดใหม่นี้