xs
xsm
sm
md
lg

“ยำแซ่บ” ปั้นธุรกิจด้วยหัวใจเถ้าแก่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

๐ เหตุใด “ยำแซ่บ” จึงโดดเด่นท่ามกลางธุรกิจร้านอาหารหลากหลาย ?
๐ คงมีหลายคนเคยคิดจะเปิดร้านอาหารแบบนี้ แต่ที่สำคัญไม่ว่าด้วยเหตุผลใด กลับไม่มีคนลงมือทำ
๐ ผู้บริหารคนสำคัญเผยวิธีคิดและหนทางปั้นธุรกิจ 32 สาขา ภายใน 5 ปี กับแนวทางเบื้องหน้า
๐ หลักปรัชญา “เทียม - บุญเกียรติ โชควัฒนา” แห่งสหพัฒน์ เป็นอาหารสมองจานใหญ่
๐ แนะเถ้าแก่มือใหม่ ซื่อสัตย์ มุ่งมั่น วางแผน และปฏิบัติอย่างจริงจัง ย่อมบรรลุเป้าหมายได้เช่นกัน

เมื่อ 5 ปีก่อน ร้านอาหารที่จะโดดเด่นชัดเจนถึงขนาดประกาศตัวว่าขายอาหารประเภทยำ กลับไม่มีเลย ทั้งๆ ที่ เป็นอาหารยอดฮิตติดอันดับ โดยมีส้มตำซึ่งถือได้ว่าเป็นการยำแบบหนึ่งเป็นตัวชี้วัดความต้องการ นั่นแปลว่าฐานลูกค้าผู้บริโภคน่าจะเป็นตลาดใหญ่ไม่แพ้สุกี้ หรือพิซซ่า ที่เห็นโอกาสกระหึ่มแข่งกันขยายตลาดอยู่ก่อนแล้ว

จนกระทั่ง ก่อเกิด “ยำแซ่บ” จึงกลายเป็นโอกาสธุรกิจใหม่ คำตอบที่ตลาดรอคอย แต่กว่าจะเติบโตได้นั้น ไม่ได้มีสูตรสำเร็จ ต้องมองการณ์ไกล วางแผน พิสูจน์ด้วยการกระทำ และเรียนรู้จึงจะได้มาจริงๆ “ยำแซ่บ”ก้าวมาได้อย่างไร และจะไปทางไหน ?

๐ ชูจุดขายคิดถึงยำคิดถึง “ยำแซ่บ”

วิริทธิ์พล ชัยถาวรเสถียร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยำแซ่บ จำกัด ถ่ายทอดเรื่องราวของร้านยำแซ่บว่า เริ่มมาจากพี่น้องในครอบครัวอยากทำธุรกิจอาหาร ซึ่งแตกต่างจากเสื้อผ้าส่งออกธุรกิจเดิมที่ทำอยู่ โดยคิดว่าข้อสำคัญต้องทำให้แตกต่างจากร้านที่มีอยู่ มีจุดเด่นและจุดขายชัดเจน

จึงเกิดความคิดนำอาหารประเภท “ยำ” มาเป็นไฮไลต์ เพราะเห็นว่าเหมาะกับกระแสคนที่ห่วงใยสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องการกินซึ่งมีมากขึ้น ประกอบกับยังเป็นช่องว่างของตลาด ไม่มีใครทำ

นอกจากนี้ยังคิดคอนเซ็ปต์ร้าน ตั้งแต่เริ่มแรกเน้นทันสมัย สบายๆ ใช้ครัวเปิดเพื่อให้ลูกค้าเห็นการปรุง โชว์ความสะอาด เกิดการเร้าใจ และดึงดูดผู้คนที่ผ่านไปมาได้อย่างดี เช่นเดียวกันกับหลายๆ ร้านที่ใช้กลยุทธ์นี้เป็นจุดขาย

ที่สำคัญ การสื่อกับลูกค้านำเสนอตัวเองให้ชัดว่า ยำแซ่บเป็นร้านที่เชี่ยวชาญเรื่องยำเป็นพิเศษ แตกต่างจากร้านอื่นๆ ที่แม้จะมีอาหารประเภทนี้อยู่เช่นกัน สร้างภาพลักษณ์ให้ลูกค้านึกถึง อยากทานอาหารประเภทยำเมื่อไรต้องคิดถึงยำแซ่บเป็นร้านแรก รวมทั้งมีอาหารเมนูโดดเด่นแตกต่างอย่างชัดเจนซึ่งลูกค้าติดใจ เช่น ยำผักบุ้งกรอบ ส้มตำทอดกุ้งสด ยำมาม่า เป็นต้น เช่นเดียวกับ เมื่ออยากทานไก่ทอดจะคิดถึงเคเอฟซี แฮมเบอร์เกอร์คิดถึงแมคโดนัลด์ สุกี้คิดถึงเอ็มเค

“คู่แข่งเยอะมาก เพราะฉะนั้นการทำให้ลูกค้าเลือก ต้องชัดเจนเหมือนเราเป็นผู้คิดค้น ชำนาญในเรื่องนี้ ซึ่งชื่อก็สื่อความเต็มๆ อยู่แล้ว ลูกค้ามองเห็นภาพ เป็นอาหารไทยมีจุดขายชัด” วิริทธิ์พลบอกเล่าถึงจุดแรกของการคิด

๐ โอกาสธุรกิจพิชิตตลาด

การตัดสินใจเริ่มธุรกิจใช้เวลา 6 เดือน เมื่อได้จังหวะทำเลเหมาะในย่านสยามสแควร์ เพราะต้องการทดลองตลาดโดยมุ่งกลุ่มวัยรุ่นที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของคอนเซ็ปต์ที่วางไว้และอาหารประเภทนี้ ยำแซ่บสาขาแรกจึงเกิดขึ้น และได้รับการตอบรับตามความคาดหมาย สาขา2 ริมถนนสีลมจึงติดตามมา

ตั้งแต่สาขา 3 เซ็นทรัลปิ่นเกล้า "ยำแซ่บ"ก็กลายเป็นร้านยำร้านแรกในศูนย์การค้า และขยายโอกาสเจาะตลาดเพิ่มขึ้นเริ่มเข้าไปอยู่ในศูนย์การค้า ซึ่งคอยเสาะหาแม่เหล็กใหม่ๆ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอยู่แล้ว ขณะเดียวกันร้านค้าต่างๆ ก็ต้องการเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น

เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ยำแซ่บจะขยายไปในศูนย์การค้าใหญ่ๆ เช่น เซ็นทรัล เดอะมอลล์ รวมทั้ง บิ๊กซี โลตัส และศูนย์การค้าแบบเนเบอร์ฮูดที่ผุดขึ้นมากมาย เช่นเดียวกับร้านค้าที่เป็นเชนต้องเปิดตามการขยายตัวของค้าปลีกเหล่านั้น

แต่ทำเลประเภท stand alone ก็เป็นที่ต้องการเช่นกัน เช่น ใกล้มหาวิทยาลัย และรถไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม สำหรับต่างจังหวัด ยังต้องต้องเน้นขยายไปในร้านค้าปลีกสมัยใหม่ เพราะเป็นแหล่งรวมลูกค้า ปัจจุบันสาขายำแซ่บต่างจังหวัดมีไม่มากนัก อยู่ที่ เชียงใหม่ (เซ็นทรัลแอร์พอร์ต) ภูเก็ต(เซ็นทรัล) นครสวรรค์(บิ๊กซี) พัทยา(คาร์ฟูร์) และฉะเชิงเทรา(บิ๊กซี)

ทางด้านการเติบโตของยำแซ่บ ช่วงปีแรกเปิดเพียงสาขาเดียว จากนั้นในปีที่3 และ4 มีเพิ่มถึง 21 สาขา นั่นเพราะระบบการทำงานเริ่มเข้าที่เข้าทาง ประกอบกับการขยายตัวของโมเดิร์นเทรดต่างๆ ส่วนปีที่ 5 เปิด 10 สาขา และในปีนี้จะเปิดอีก 5 สาขา เช่น เมเจอร์รัชโยธิน เซ็นทรัลรัตนาธิเบศธ์ ทำให้เพิ่มเป็น 37 สาขา จากปัจจุบันมี 32 สาขา

“ปีนี้เปิดไม่มากเพราะส่วนใหญ่ทำเรื่องการปรับปรุงร้านเดิมมากหน่อยเพราะเริ่มเก่าแล้ว ส่วนเป้าหมายเราจะขยายสาขาไปครอบคลุมพื้นที่ๆ ยังไม่ได้ไปเปิด ปัจจุบันมีหลายพื้นที่ๆ ลูกค้าเรียกร้อง และเราพยายามไป”

นอกจากการขยายสาขา ยำแซ่บเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ โดยสร้างการรับรู้และความเข้าใจผ่านสื่อต่างๆ ว่า อาหารของร้านไม่ได้มีแต่ประเภทยำเท่านั้น แต่มีประเภทอื่นอีกมาก เช่น ประเภทข้าว เช่น ชุดข้าวแกงเขียวหวานทอดมันปลากราย ชุดข้าวไข่เจียวแกงส้ม และชุดข้าวหอยเชลล์ผัดขี้เมา รวมทั้งอาหารที่เหมาะสำหรับเด็ก เช่น สลัดไก่ทอด สลัดปลาทอดผลไม้ ยำฟรุทสลัด น่องไก่ทอด มาม่าหมูสับ เป็นต้น ทำให้ฐานตลาดกว้างขึ้น มีกลุ่มผู้ชายและกลุ่มครอบครัวเข้ามาใช้บริการมากขึ้น จากเดิมที่มักจะเป็นกลุ่มผู้หญิงและวัยรุ่น

“นอกจากนี้ การแข่งขันสูงยิ่งต้องแอ๊คทีฟ ดูตลาดมากหน่อย ดูแฟชั่นว่าใครทำอะไร เปลี่ยนเมนูเร็วขึ้น ประมาณ 2-3 เดือนมีใหม่ ถ้าดีจริงๆ จะเป็นเมนูประจำ และมีการเชื่อมโยงกลุ่มลูกค้า เช่น คนที่เล่นฟิตเนสเพราะไม่อยากอ้วน หรือต้องการดูแลสุขภาพ เราทำโปรโมชั่นในกลุ่มนี้ด้วย” วิริทธิ์พลกล่าวถึงกลยุทธ์การตลาด

๐ ซื่อสัตย์-มุ่งมั่น เติบโตยั่งยืน

เขากล่าวว่า 5 ปีที่ผ่านมาธุรกิจยำแซ่บเติบโตไปตามเป้าหมาย เป็นขั้นตอนของการสร้างฐาน ยำแซ่บเป็นร้านอาหารมีจุดเด่นอาหารประเภทยำ เป็นที่รู้จักของลูกค้าในประเทศ และการเข้าสู่ปีที่ 6 การขยายสาขาและรูปลักษณ์สดใสขึ้น อย่างไรก็ตาม ในขั้นต่อไป คิดจะขยายสู่เซ็กเม้นต์อื่น ในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิม

“ปีแรกเรายังไม่ได้คุยกันถึงปีนี้ เราวางแผนระยะสั้นปีต่อปีเท่านั้น แต่เราดูแนวโน้มข้างหน้า เราเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ เพราะจริงๆ การทำธุรกิจอยู่ที่ความตั้งใจของคนทำ ทุกอย่างพัฒนาได้ สำหรับลูกค้าต้องสังเกตุว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร เช่น เรื่องที่ดูเหมือนเล็กๆ อย่างกล่องใส่กระดาษทิชชูและไม้จิ้มฟัน ซึ่งเดิมหยิบแล้วไม้จิ้มฟันจะหล่นตามออกมาอีกมาก ลูกค้าต้องเก็บ ทำให้ต้องเปลี่ยนใหม่ให้เหมาะ แบบที่ปัจจุบันใช้อยู่ ส่วนพนักงานบริการและฝ่ายผลิตต้องใช้การฝึกฝน”

หลักบริหาร คือ เมื่อมีความตั้งใจเป็นพื้นฐานในการทำแล้ว ความซื่อสัตย์ มีคุณธรรม หมายความว่าปฏิบัติกับลูกค้าทุกเรื่อง เช่น คุณภาพ ราคา ซึ่งฟังเหมือนเรื่องเชย แต่กลายเป็นสิ่งที่ใช้ได้ตลอดแล้วต้องมีความมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จ ซึ่งการวัดความสำเร็ของยำแซ่บ สำคัญที่สุดมาจากพฤติกรรมของลูกค้าว่าพึงพอใจแค่ไหน

“การเติบโตของเรา ต้องใช้เวลา การทำธุรกิจพัฒนาไปตามสถานการณ์และยุคสมัย ตอนแรกก็มีความหวังว่าจะเติบโตมาได้ ตั้งใจทำ อยากทำดีขึ้นเรื่อยๆ”

ส่วนจุดที่ยากในการบริหาร คือเรื่องคน เป็นปัญหาหลัก ที่สำคัญจึงใช้การดูแลแบบครอบครัว เป็นพื้นฐาน ใกล้ชิดพนักงานสามารถโทรศัพท์ตรงถึงผู้บริหารได้ทันที และนำเอาความรู้ความชำนาญด้านการค้าขาย มาประยุกต์กับธุรกิจนี้ โดยย้ำว่ายำแซ่บเป็นธุรกิจครอบครัว เป็นการร่วมกันระหว่างพี่น้อง แบ่งการบริหารจัดการตามความถนัดและเหมาะสม

“เราเป็นผู้บริหารแบบลงไปทำเองทำได้ทุกอย่าง เพราะยิ่งทำมากรู้มากรู้ปัญหา ถึงรายละเอียด รู้ว่าตอนที่ทำกับไม่ได้ทำต่างกันมาก เพื่อแก้ไขและทำได้ถูกต้อง”วิริทธิ์พลอธิบาย

“ส่วนการมองเรื่องปรัชญา ความคิด เราศึกษาจากคนที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่ ขยัน เป้าหมายชัดเจน และลงมือทำ ใครที่ต้องการทำธุรกิจต้องลงมือทำ เรียนผิดเรียนถูกไปด้วย เพราะจริงๆ มืออาชีพ คือคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาว จนเรียกว่าฝึกกระบี่จนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ ยิ่งทำยิ่งรู้ ไม่ใช่เรียนรู้แค่ใครคนหนึ่งมาบอกเท่านั้น”

สำหรับปรัชญาชีวิตที่มีส่วนในความคิดของเขา มาจาก เทียม กับบุญเกียรติ โชควัฒนา เถ้าแก่และผู้บริหารมือโปรแห่งสหพัฒน์ ซึ่งเป็นปู่และพ่อของภรรยาของเขา รวมทั้ง พ่อแม่ของเขาเอง มีการปฏิบัติตัว ความขยันอย่างไร การค้าขาย สายตาในการมองธุรกิจอย่างไร เป็นสิ่งที่ซึมซับมาตั้งแต่เด็ก และมีอิทธิพล แต่เขาก็เชื่อว่า คนที่ไม่มีพื้นฐานมาจากครอบครัวที่ทำการค้าก็จะทำได้ดีไม่แพ้กัน เพียงแต่ต้องรู้ว่าจะทำอย่างไร

“พ่อตาผมมองว่า การเป็นผู้ประกอบการได้ ที่สำคัญ ต้องไม่กลัว ไม่เหนื่อย ไม่ท้อ ไม่มีปัญหา ไม่ยาก ไม่เครียด ทำให้ต้องรู้จักความพอดีเป็นการเตือนสติ”

“ทั้งสองท่านใช้ชีวิตพิสูจน์ตัวเอง ทำมาจนสำเร็จขนาดนี้ เป็นตำนานของเมืองไทย แต่ละข้อตกผลึกแล้ว เราเรียนรู้ปรัชญา วิธีคิด แล้วนำไปปฏิบัติ ปรัชญาการทำงานเป็นเรื่องคลาสสิคเหมือนประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกัน เรานำมาใช้ได้ตลอด”

วิริทธิ์พลสรุปในตอนท้ายว่า เมื่อบริหารไปความคิดปรัชญาจะออกมาเรื่อยๆ เช่น เรื่องความยุติธรรม ความซื่อสัตย์กับลูกค้า การบริการอย่างจริงใจ สำหรับปรัชญาของ “ยำแซ่บ” คือ ความตั้งใจเพียรพยายาม ทำให้อาหารอร่อย หลากหลาย มีบริการที่ดี เพื่อให้ลูกค้าถูกใจ ส่วนกลยุทธ์เป็นเรื่องที่ต้องปรับไปตามยุคสมัย
กำลังโหลดความคิดเห็น