เฮนน่าเป็นสมุนไพรที่ได้จากใบของพืชเขตร้อนชนิดหนึ่ง ที่มีการปลูกเชิงพาณิชย์ในประเทศอินเดีย, ปากีสถาน และบางประเทศในแถบอาฟริกา เฮนน่ามีคุณสมบัติในการให้สี โดยเคลือบเซลของเส้นผมหรือผิวหนัง ชาวฮินดูจึงนิยมใช้ในการเพ้นท์ลายลงบนร่างกาย ส่วนการใช้กับเส้นผมนั้น จะไม่ใช่การเปลี่ยนสีผม แต่เป็นการเคลือบปกปิดสีผมเท่านั้น
วสุ โอสถานนท์ เล่าว่า ภรรยาคือคุณสุวรรณา เป็นคนแพ้ผม ทำให้ผมขาวตั้งแต่อายุเพียง 21 ปี เมื่อใช้ยาย้อมผมก็แพ้สารเคมีอีก จึงทดลองใช้เฮนน่าอินเดีย แต่ก็แพ้อีกเพราะมีสารเคมีตกค้างจากการปลูก ส่วนเฮนน่าจากยุโรปหรืออเมริกา ซึ่งใช้วัตถุดิบจากโซมาเลียหรือโมรอคโค ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งผลิตเฮนน่าคุณภาพชั้นนำของโลก ก็ยังมีปัญหาเรื่องกลิ่นที่รุนแรง จึงลองสั่งพันธุ์เฮนน่าจากแคนาดาและอเมริกา สายพันธุ์เอเชียใต้และอาฟริกา มาเพาะและปลูกรวมกับต้นเทียนกิ่งซึ่งเป็นเฮนน่าสายพันธุ์ไทย ให้ผสมข้ามสายพันธุ์กันเอง แล้วคิดเลือกต้นแม่พันธุ์ที่ดีที่สุด ขยายพันธุ์ด้วยการตอน โดยมีไร่อยู่ที่ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา
“เราปลูกแบบชีวภาพ ใช้พลาสติกคลุมโคนต้น เพื่อรักษาความชื้นและป้องกันวัชพืช ให้ปุ๋ยด้วยวิธีน้ำหยด โดยใช้ปุ๋ยเอ็มไอโอ ซึ่งผสมใบยูคาลิปตัสลงไปด้วย เพื่อให้กลิ่นที่ดี การเก็บเราก็เก็บเหมือนใบชา คือเก็บยอดตอนเช้ามืด ก่อนที่ใบจะโดนแดดและสังเคราะห์แสง และตอนที่ต้นยังไม่มีดอก ซึ่งจะทำให้ได้เฮนน่าที่มีคุณภาพสูง”
วสุ กล่าวต่อว่า การทำเฮนน่านอกจากจะเป็นการปิดผมขาวแล้ว ยังเป็นการปรับสภาพเส้นผม เพิ่มความเงา และดูมีน้ำหนักขึ้นด้วย สำหรับการปิดผมขาว สีของเฮนน่าเป็นสีน้ำตาลแดงจะเคลือบเฉพาะผมขาว นอกจากนี้ เฮนน่ายังเป็นยาฆ่าเชื้อในตัว ทำให้ฆ่าเชื้อโรคบนหนังศรีษะได้ด้วย แต่เฮนน่าก็มีข้อจำกัดคือ ไม่สามารถเปลี่ยนสีผมธรรมชาติไปเป็นอีกสีหนึ่งได้ เนื่องจากเฮนน่าจะเคลือบผิวของเส้นผมเท่านั้น ไม่สามารถซึมเข้าไปเปลี่ยนสีของเส้นผมได้
“การใช้เฮนน่า “Suhanna” จะได้ผลดีที่สุด สำหรับผมที่ไม่เคยได้รับสารเคมีจากการย้อมหรือดัด สำหรับผมที่ถูกย้อมหรือดัดด้วยสารเคมีมาก่อน ควรเว้นระยะอย่างน้อย 2 สัปดาห์”
หลังจากทำการทดลองได้ผงเฮนน่าที่มีคุณภาพออกมา “Suhanna” ก็เริ่มต้นขายผ่านเว็บไซต์ www.suhanna.net ก่อน โดยลูกค้าส่วนใหญ่ที่ได้มักจะเป็นหมอและพยาบาล ซึ่งก็บอกต่อๆ กันไป ทำให้มีลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ จากที่สั่งผ่านเว็บไซต์ก็เริ่มโทรมาสั่งโดยตรง จึงคิดหาที่วางขาย โดยเริ่มวางที่แรกที่เลมอนฟาร์มทุกสาขา เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2548 ซึ่งยอดขายเพียง 15 วันได้ถึงกว่า 800 กล่อง และมีคนสนใจเป็นตัวแทนจำหน่ายติดต่อเข้ามาด้วย โดยการขายส่งจะจำหน่ายให้ในราคาส่วนลด หากสั่งตั้งแต่หนึ่งโหลขึ้นไป ซึ่งนอกจากวางจำหน่ายในเลมอนฟาร์มแล้ว วสุก็คิดไว้ว่าต่อไปจะนำไปวางที่ร้านทำผมและร้านสมุนไพรด้วย
“เราขายกล่องละ 200 บาท เป็นราคาที่แพงกว่าเฮนน่าที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้ค่อนข้างมาก แต่คุณภาพเราก็ดีกว่ามากเหมือนกัน และรับประกันปลอดสารเคมีแน่นอน”
วสุ กล่าวถึงเงินทุนเริ่มต้นในการทำธุรกิจนี้ว่า เฉพาะค่าวัตถุดิบใช้เงินไปประมาณ 5-6 แสนบาท แต่โชคดีที่คุณพ่อซื้อที่ไว้เยอะ ทำให้ไม่ต้องเสียค่าพื้นที่เพาะปลูก นอกจากนี้ก็มีค่าเครื่องอบอีก 1 แสนกว่าบาท และเครื่องบดที่ให้โรงงานของไทย คือ อุษา อุตสาหกรรม ผลิตให้ด้วยเงิน 1 แสนกว่าบาทเช่นกัน โดยเป็นเครื่องบดเครื่องเล็กที่สามารถบดได้ละเอียดเหมือนเครื่องตัวใหญ่ และทำด้วยสแตนเลส ซึ่งไม่ทำให้สมุนไพรเสื่อมคุณภาพ
“ปัญหาของเราคือการขยายพันธุ์ต้องใช้เวลา เคยมีต่างประเทศสั่งซื้อเข้ามาเหมือนกัน แต่เขาต้องการถึงเดือนละ 3 ตัน ซึ่งเราทำไม่ไหว ก็เลยปฏิเสธไป ตอนนี้เราผลิตได้เดือนละ 200 กก. จากพื้นที่ปลูก 20 ไร่ ตั้งเป้าไว้ว่าจะขยายเป็น 100 ไร่ในต้นปีหน้า ซึ่งจะทำให้ผลิตได้เดือนละ 1 ตัน ซึ่งผมก็คิดว่าจะขยายแค่นั้น แล้วรักษาคุณภาพไว้ดีกว่า เพราะทางเดียวที่จะทำให้ธุรกิจเจ๊งได้ก็คือของไม่มีคุณภาพ” วสุ กล่าว
วสุ กล่าวว่า ธุรกิจนี้เติบโตดี เนื่องจากยังไม่มีใครทำ และคนทำตามยากเพราะเป็นพันธุ์ที่เราพัฒนาขึ้นมาเอง ลูกค้าที่ซื้อไปใช้แล้วก็จะกลับมาซื้อใหม่ โดยปัจจุบันยอดขายอยู่ที่เดือนละ 1,000 กล่อง แต่หากเป็นที่รู้จักมากขึ้น แล้วมีคู่แข่ง ถึงตอนนั้นก็ค่อยวางแผนการตลาดกันอีกที
ทั้งนี้ “Suhanna” อยู่ระหว่างการขอ ISO จากกรมส่งเสริมการเกษตร คาดว่าภายใน 3 เดือนนี้คงจะรู้ผล ส่วนเรื่องตราออแกนิคนั้น ถ้าทำการส่งออกก็ต้องขอจากหน่วยงานของแต่ละประเทศเป็นที่ที่ไป ซึ่งตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น จึงขอแค่ของกรมส่งเสริมการเกษตรของไทยก่อน
“ผมมั่นใจว่าเราเป็นเฮนน่าชีวภาพหนึ่งเดียวในโลก และถ้าเรื่องพันธุ์อยู่ตัว ผมก็จะส่งเสริมให้คนในพื้นที่ปักธงชัยปลูก เพื่อเป็นอีกหนทางในการสร้างรายได้ของชาวบ้านด้วย” วสุ กล่าว
ติดต่อ “Suhanna” โทร. 0-2752-1671 กด 1 และ 0-1923-8571
