ด้วยความที่คุณแม่ของน้ำฝน-กุลณัฐ ปรียะวัฒน์ มีฝีมือด้านการปรุงอาหารไทยๆ โดยเฉพาะแกงลูกชิ้นปลากราย ส่วนพี่ชายก็ได้ไปทานขนมจีนเส้นสดที่ จ.เพชรบูรณ์ จนติดใจ จึงไปเรียนรู้วิธีทำมา เมื่อคิดจะทำธุรกิจร่วมกับครอบครัว เธอจึงนำขนมจีนเส้นสดของพี่ชายและแกงของแม่มารวมกันเป็น ขนมจีนเส้นสด “สายฝน”
กุลณัฐ ปรียะวัฒน์ เล่าว่า คุณแม่ขายข้าวแกงมาตั้งแต่เธอยังเด็ก ปัจจุบันนี้เธอกับพี่ๆ ก็ทำงานกันหมดแล้ว จึงอยากให้แม่พัก แต่ก็เสียดายรสมือแม่ ประกอบกับที่พี่ชายได้ไปเรียนทำขนมจีนเส้นสดที่ จ.เพชรบูรณ์ ก็เลยคิดว่าน่าจะลองทำขาย โดยที่ไม่ต้องให้แม่ออกไปขาย แค่ทำอยู่ที่บ้านก็พอ เพราะแม่เองก็คงไม่อยากอยู่เฉยๆ เสียทีเดียว
“เริ่มต้นทำขายเมื่อเดือนตุลาคม 2547 เติบโตเร็วมาก เพราะมีคนสนับสนุนเยอะ ไปออกงานต่างๆ ก็ขายดีมาก วันละเป็นหมื่นๆ บาท งานแรกที่ไปออกคือ สู้แล้วรวย จนหลังๆ นี่ความนิยมในอาหารมีมากกว่าตัวฝนแล้ว เพราะถึงไม่มีฝนคนก็ยังซื้อทานกันเยอะแยะ เจอขนมจีนเส้นสดสายฝนแล้วรู้เลยว่าอร่อยแน่ๆ”
หลังจากนั้นเธอก็ได้เข้าร่วมกิจกรรมบ่มเพาะและอนุบาลการลงทุนกลุ่มศิลปินดารา ภายใต้โครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และเริ่มขยายกิจการด้วยการเปิดร้านเป็นหลักแหล่งที่ ถ.เลี่ยงเมืองนนท์ (สนามบินน้ำ) และมีสาขาที่ ถ.แจ้งวัฒนะ เพื่อเป็นต้นแบบของแฟรนไชส์ที่ยังอยู่ระหว่างการเซ็ทระบบ
กุลณัฐ อธิบายว่า แกงและน้ำยาของที่ร้านจะมี 6 ชนิด คือ น้ำยาป่า, น้ำยากะทิปลาช่อน, แกงลูกชิ้นปลากราย, แกงลูกชิ้นปลากรายทรงเครื่อง, แกงเขียวหวานไก่, แกงเขียวหวานเนื้อ และน้ำเงี้ยว ซึ่งจะเน้นรสกลมกล่อม เผ็ดปานกลาง ไม่หวาน เส้นสดจะมี 5 สี คือ สีเหลืองขมิ้น สีม่วงอัญชัน สีส้มแครอท สีเขียวใบเตย และสีขาว ร้านเราจะตักแกงเป็นถ้วยแยกจากขนมจีน เพื่อที่ลูกค้าจะได้เลือกทานแกงได้หลายอย่าง โดยคิดเป็นราคาชุดละ 30-40 บาท และมีเมนูพิเศษที่เพิ่มเติมมา คือ ทอดมันปลากราย หมูเกร็ดหิมะ ปูจ๋า เมนูอาหารอีสานที่เป็นที่นิยม คือ ส้มตำ ลาบ ไก่ทอด และยังมีของหวานแบบไทยๆ อย่าง ลอดช่อง รวมมิตร
“เส้นสดกับเส้นหมักต่างกันที่เส้นสดจะเหนียวนุ่มกว่า ไม่เปื่อยขาดง่ายเหมือนเส้นหมัก แต่ก็เก็บได้ไม่นาน แค่วันเดียวเท่านั้น เพราะเราไม่ใส่สารกันบูด” กุลณัฐ กล่าว
เธอเล่าต่อว่า รายได้ต่อเดือนตอนนี้ยังไม่เห็นกำไรมาก เพราะขยายงานอยู่เรื่อยๆ ซึ่งวันที่เปิดร้านแรกๆ นั้นได้กำไร 2-3 พันบาทต่อวัน ตอนนี้ร้านเปิดได้เดือนกว่าแล้วรายได้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยได้เริ่มทำการประชาสัมพันธ์ด้วยการแจกใบปลิว และออกตามสื่อต่างๆ บ้าง
ด้านแฟรนไชส์นั้น กุลณัฐ กล่าวว่า ยังเซ็ทระบบไม่เสร็จเรียบร้อย แต่มีสาขาที่แจ้งวัฒนะเป็นสาขาต้นแบบ โดยหลักๆ ที่คิดไว้ คือค่าแฟรนไชส์จะอยู่ที่ 6 หมื่นบาทขึ้นไป แล้วแต่ว่าจะต้องการร้านแบบไหน จะเป็นรถเข็นหรือตึกแถวก็ได้ แต่ต้องการให้มีพื้นที่ในการทำเส้นสดด้วย เพราะเป็นจุดเด่นของร้าน คุณสมบัติของผู้ซื้อแฟรนไชส์ก็ต้องเป็นผู้ที่มีความรักในการทำอาหาร แม้จะไม่ได้ทำเอง ก็ควรเป็นคนที่ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน
ส่วนจุดคุ้มทุนนั้น ถ้าเป็นรถเข็น จากการทดลองขายที่สีลมและหลังสวน ซ.5 จะอยู่ในระยะเวลา 4 เดือน โดยจะได้กำไรวันละ 500 บาท จากการขายได้วันละ 2,000 บาท ถ้าขายทุกวันไม่หยุดก็ได้กำไรเดือนละ 15,000 พันบาท ซึ่งจากที่ทดลองขายก็มีลูกค้าประจำเยอะ แต่ตอนนี้หยุดขายไปแล้ว
“ถ้าหากอยู่ในพื้นที่ไกลจากกรุงเทพฯ ก็จะสอนให้ทำ แล้วรับวัตถุดิบจากเรา สอนให้เขารู้จักอุ่นอาหารด้วย เพราะแกงที่มีกะทิอุ่นไม่ดีก็บูดได้”
กุลณัฐ กล่าวถึงอาชีพใหม่ของเธอว่า เป็นแม่ค้ามาตั้งแต่เด็ก ช่วยแม่ทำมาตลอด ก็เลยไม่ต้องฝึกอะไรมาก ส่วนใหญ่ก็ดูแลเรื่องประชาสัมพันธ์เป็นหลัก ใช้ชื่อเสียงของตัวเองให้เป็นประโยชน์ เพราะก็ไม่กล้าทำของไม่ดีออกมาให้เสียชื่อเสียง คุณแม่เองก็มีฝีมือทำอาหารขายมา 30 กว่าปีแล้ว
สุดท้าย กุลณัฐ กล่าวถึงเป้าหมายธุรกิจในอนาคตว่า อยากให้ขนมจีนเส้นสด “สายฝน” เป็นแบรนด์ที่คนต้องนึกถึงทุกครั้งที่อยากกินขนมจีน เหมือนแบรนด์อาหารดังๆ ทั้งหลาย
ติดต่อร้านขนมจีนเส้นสด “สายฝน” โทร.0-6106-6000, 0-1918-2890
