ปลาโมลา เป็นปลาที่มีรูปร่างแปลกแต่น่ารัก เป็นที่ถูกใจของหุ้นส่วนหลักของบริษัท โมลา จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าเครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงาน และคำว่า “โมลา” ก็แปลว่าพระจันทร์ ตรงกับชื่อของทั้งสองคนคือ ปลา พริมา และแจ๋ว ม.ล.สุธานิธิ ซึ่งชื่อจริงของเธอหมายความถึงพระจันทร์
ม.ล.สุธานิธิ จิตรพงศ์ เล่าว่า วางแผนตั้งแต่ประมาณเดือนกรกฎาคม 2546 ซึ่งในตอนนั้นตนทำบริษัทกราฟฟิกเล็กๆ กับเพื่อน พอดีที่เพื่อนอีกคนคือคุณปลากำลังจะแต่งงาน ก็อยากลาออกจากงานด้านคอนซัลแทนท์ซึ่งค่อนข้างหนัก มาทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ จึงร่วมหุ้นกันเปิดบริษัท โมลา จำกัด ผลิตสินค้าเครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงาน โดยมีหุ้นย่อยๆ คือน้องชายกับน้องสาว ซึ่งเรียนมาด้านอินดัสเทรียล ดีไซน์ ช่วยดูแลเรื่องการออกแบบ
“เราชอบเครื่องเขียนกันทั้งสองคน และคิดว่าน่าจะมีช่องทางการตลาด โดยวางคอนเซ็ปต์ไว้ที่ สีสันสดใส แต่เรียบง่าย และคุณภาพดี สินค้าหลักที่ออกแบบและผลิตเองก็เป็น สมุดหลายขนาด, แฟ้มเอกสารต่างๆ, กล่องใส่เอกสาร ส่วนปากกายังไม่ได้ผลิตเอง บางส่วนนำเข้ามา”
“โมลา” เริ่มต้นด้วยการผลิตสมุดและการ์ด ฝากวางขายในห้างสรรพสินค้า เมื่อเห็นว่าขายได้ จึงเปิดร้านที่สยามแสควร์ เพื่อที่จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับทางห้างฯ ว่าทำจริงจัง ไม่ใช่เบื่อแล้วก็หยุด แต่ถ้าเปิดร้านโดยไม่เข้าห้างฯ ก็อาจจะทำให้ไม่สามารถระบายของได้ทัน เนื่องจากต้องผลิตจำนวนมาก เพื่อต้นทุนที่ถูกลง จึงต้องฝากห้างฯ ขายด้วย เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่าย
“ร้านที่สยามมีของแบรนด์เรา และมีของที่คนอื่นเอามาฝากขายด้วย โดยจะเลือกที่เข้ากับคอนเซ็ปต์ของร้าน กลุ่มที่เข้ามาในร้านเราไม่ใช่เด็กแนว จะเป็นกลุ่มที่ชอบอะไรเรียบๆ ง่ายๆ กราฟฟิคน้อยๆ ดูสะอาดๆ น่ารัก เป็นเฟมินิน ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ม.ปลายขึ้นไป ทาร์เก็ตกรุ๊ปคือ ม.ปลายถึงนักศึกษา แต่คนทำงานก็มาซื้อพวกเครื่องใช้อุปกรณ์สำนักงาน จะเป็นพวกชื่นชอบสเตชั่นนารี่ (stationary lover)” ม.ล.สุธานิธิ กล่าว
คอลเลกชั่นแรกของ “โมลา” ออกมาเมื่อปลายปี 2547 เป็นสีพาสเทล ต่อมาก็มีคอลเลกชั่นย่อยๆ ออกมาอีกหลายแบบ เช่น เรนโบว์ ออกมาในเดือนพฤศจิกายน, ช่วงวาเลนไทน์ก็มี พ็อกกา ดอท สีหวาน, เดือนเมษายนเป็น twist and move, ช่วงเดือนมิถุนายน ต้อนรับเปิดเทอมด้วยลายโมลา แกรม ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นหลัก และคงยาวไปถึงปีหน้า โดยแต่ละคอลเลกชั่นก็ผลิตจำนวนจำกัด ถ้าขายหมดก็จะไม่ได้ผลิตเพิ่ม
“คอลเลกชั่นหลักคือทุกผลิตภัณฑ์ จะออกปีละ 2 แบบ แต่คอลเลกชั่นย่อยซึ่งจะมีผลิตภัณฑ์แค่ 2-3 อย่าง จะออกมาเรื่อยๆ”
ต้นทุนเริ่มแรก พวกเธอใช้เงินส่วนตัวไปประมาณ 5 แสนบาท แต่พอเริ่มเปิดร้านก็ต้องเพิ่มเป็น 3-4 ล้านบาท โดยรายได้นั้นตอนฝากขายยังได้ไม่เป็นกอบเป็นกำ แต่หลังจากเปิดร้านเมื่อเดือนกันยายนจนถึงปัจจุบัน ก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 3 แสนบาทขึ้นไป
“กระดาษที่อัดอยู่ในปก เราก็เลือกที่มันเกรดดีขึ้นมาอีกหน่อย เพื่อที่เมื่ออัดเคลือบปกแล้วจะได้เรียบสวย ไม่มีริ้วรอยเยอะ เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราต้องการให้มันออกมาสวยและมีคุณภาพ” ม.ล.สุธานิธิ กล่าว
เมื่อของมีราคาสูง ทำให้ ต้องคิดว่าทำอย่างไรให้ลูกค้าเลือกซื้อของซึ่งมีราคาแต่ดีไซน์สวย ทำอย่างไรให้มีคนยอมควักเงินซื้อ โดยขณะนี้ก็พยายามประชาสัมพันธ์ตัวเอง ซึ่งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ก็ได้ไปออกงานแอลล์ แอนด์ แอลล์ เดคอเรชั่น ทำให้คนรู้จักมากขึ้น ส่วนในละแวกร้าน ก็จะมีเด็กนักเรียน นิสิตจุฬาฯ อยู่แล้ว จึงทำโปรโมชั่นในร้าน เช่น ซื้อครบเท่านี้มีของแถม หรือสะสมแต้ม
เรื่องคู่แข่งนั้น ม.ล.สุธานิธิ กล่าวว่า ไม่หนักใจ เพราะเท่าที่เห็นแบรนด์เครื่องเขียนของไทยยังไม่มีที่เป็นสีสัน โดยส่วนมากจะเป็นของนำเข้าจากญี่ปุ่นหรือเกาหลีมากกว่า หรือถ้ามีก็ไม่ใช่เครื่องเขียนเต็มตัว แต่จะเป็นทำแต่สมุดบันทึก หรือถ้าเป็นร้านเครื่องเขียนก็จะไม่ใช่แบรนด์ตัวเอง เป็นแค่ตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น
ม.ล.สุธานิธิ กล่าวต่อว่า ในระยะใกล้อยากขยายร้านให้กว้างขึ้น และเพิ่มบริการ ทำคัสตอมไมซ์ของสมุด ให้ลูกค้าเลือกได้ตามความต้องการ การผลิตของใช้บนโต๊ะทำงานให้มากขึ้น และก้าวต่อไปก็มองเรื่องการส่งออก ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มต้นด้วยการส่งแค็ตตาล็อกสินค้าไปให้ลูกค้าที่ประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ สวิสเซอร์แลนด์ และอิตาลีดู แต่ยังไม่ได้ออกงานแฟร์เพื่อหาลูกค้าอย่างจริงจัง เพราะอยากให้ร้านอยู่ตัวก่อน แต่คิดไว้ว่าภายในปีหน้าจะมุ่งเรื่องส่งออกให้ได้ ในตอนนี้ก็คงต้องศึกษาหาความรู้เรื่องนี้ไปก่อน ต้องเข้าไปคุยกับกรมส่งเสริมการส่งออก
การทำงานใดๆ ก็ตาม ปัญหาเป็นเรื่องปกติที่ต้องพบเจอ ซึ่งปัญหาของ ก็มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น ในแง่ภายในคือเรื่องการควบคุมการผลิตจากหลายๆ ที่ให้ออกมาพร้อมกัน การจัดการบริหารสต็อกที่ต้องเหนื่อย เพราะมีของหลากชนิด การเช็คสต็อกจึงต้องแบ่งย่อย ต้องละเอียด รอบคอบ ในส่วนของห้างฯ ก็จะมีปัญหาจุกจิกที่ข้อกำหนดของแต่ละที่ไม่เหมือนกัน
“เป็นปัญหาจุกจิกมากกว่า ถ้าขายไม่ออกถึงจะเป็นปัญหาหนัก แต่ตอนนี้ไม่เป็นปัญหา ก็มีบ้างที่ของบางตัวขายได้น้อยกว่าบางตัว แต่ก็ยังไม่หนักใจอะไร ยังถือว่าอยู่ในช่วงเรียนรู้กันไป” ม.ล.สุธานิธิ กล่าว
ตอนนี้สินค้า “โมลา” มีวางขายที่ ร้าน “โมลา” สยามแสควร์ซอย 11 หลังฮาร์ดร็อก คาเฟ่, บีทูเอส เซ็นทรัล ชิดลม, ลาดพร้าว, ปิ่นเกล้า และบางนา, แผนกเครื่องเขียนของดิ เอ็มโพเรี่ยม, เดอะ มอลล์ งามวงศ์วานและบางกะปิ, อิเซตัน, เพลย์กราวนด์, ร้านลอฟท์, ร้านแอนี่รูม และปลายปีนี้จะมีวางที่สยามพารากอน ซึ่งจะเปิดปลายปีเช่นกัน
ติดต่อ “โมลา” โทร.0-2679-7901-2, 0-2654-6276 หรือ www.mola.co.th