“ผ้าไหม” ของกลุ่มทอผ้ายกทอง “จันทร์โสมา” หมู่บ้านท่าสว่าง จังหวัดสุรินทร์ ได้รับการยกย่องถึงความสวยงามอย่างน่ามหัศจรรย์ ด้วยการออกแบบลวดลายที่สลับซับซ้อน ผสมผสานระหว่างการทอแบบราชสำนักกับเทคนิคแบบพื้นบ้านจนกลายเป็นผ้าทอที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก โดยมี “อ.วีรธรรม ตระกูลเงินไทย” เป็นแกนนำและเป็นผู้รวบรวมชาวบ้านท่าสว่างมาทำงานทอผ้ายามว่างจากการทำไร่นา
อ.วีรธรรม เล่าว่า หมู่บ้านท่าสว่าง มีการทอผ้าไหมมาตั้งแต่โบราณ โดยจะทำกันทุกหลังคาเรือน ใช้ช่วงว่างจากทำนา รวมถึงยังปลูกหม่อนเลี้ยงไหมกันเอง และย้อมด้วยสีธรรมชาติใช้ภูมิปัญญาโบราณที่สืบทอดกันมา ซึ่งได้จัดตั้งเป็นกลุ่มอาชีพทอผ้ายกทอง “จันทร์โสมา” เมื่อประมาณ 7-8 ปีมาแล้ว
ความโดดเด่นของผ้าไหม “จันทร์โสมา” เกิดจากการเลือกเส้นไหมที่เล็ก และบางเบานำมาผ่านกรรมวิธีฟอง ต้ม แล้วย้อมสีธรรมชาติ ด้วยแม่สีหลัก สามสี ประกอบด้วย สีแดงจากครั่ง สีเหลืองจากแก่นแกแล และสีครามจากเมล็ดคราม สอดแทรกการยกดอกด้วยไหมทองที่ทำจากเงินแท้ๆ มารีดเป็นเส้นเล็กๆ ปั่นควบกับเส้นด้าย
ส่วนการทอจะใช้กี่แบบพื้นเมืองโบราณ แต่จากการออกแบบเป็นลวดลายที่ซับซ้อน แบบราชสำนักโบราณ ผสานด้วยแรงบันดาลใจจากจินตนาการของอ.วีรธรรม ทำให้ต้องใช้ตะกอจำนวนมาก ตั้งแต่ร้อยกว่าตะกอถึงพันกว่าตะกอ จนการวางกี่บนพื้นดินธรรมดามีความสูงไม่พอ ต้องขุดหลุมบริเวณนั้นลงไปลึกประมาณ 2-3 เมตร เพื่อรองรับความยาวของตะกอที่ห้อยลงมาจากกี่ให้เป็นระเบียบ และให้คนที่อยู่ในหลุม คอยสอดตะกอไม้
“เทคนิคการทอแบบนี้ เป็นการปรับปรุงมาจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งคนที่นี่ จะใช้การทอผ้าจก ด้วยการวางตะกอแนวตั้ง แต่นั้น ทำด้วยลายง่ายๆ เชือกตะกอไม่มีความยาวขนาดนั้น แต่ด้วยความที่ลายซับซ้อนมาก ทำให้ต้องประยุกต์ด้วยการขุดหลุมลงไป รองรับความยาวของตะกอ”
และเนื่องจากไม้ตะกอมีจำนวนมาก จึงต้องใช้คนทอถึง 4-5 คนต่อผืน โดยแบ่งงานกัน คือ จะมีคนช่วยยกตะกอ 2-3 คน คนสอดไม้ 1 คน และคนทออีก 1 คน ซึ่งทุกขั้นต้องเป็นไปตามลำดับตะกอที่เก็บลายไว้ ผิดไม่ได้แม้แต่เส้นเดียว ถ้าพลาดคือเสียทั้งผืน ด้วยความซับซ้อนด้านเทคนิคการทอเหล่านี้ ต่อวันจะทอได้แค่ 5-7 เซนติเมตรเท่านั้น ต่อผืนที่มีความยาว 2 เมตร ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ราคาขายจึงแพงมาก โดยผืนที่ทอด้วย 700 - 800 ตะกอ ราคาขายเมตรละ 30,000 กว่าบาท และผืนที่ทอด้วยจำนวนพันกว่าตะกอ ราคาอยู่ที่เมตรละ 150,000 – 200,000 บาท
เขายังเล่าอีกว่า สำหรับความภูมิใจของชาวบ้านท่าสว่าง คือ การได้รับคัดเลือกจากรัฐบาลให้ทอผ้าสำหรับตัดเสื้อให้ผู้นำ และผ้าคลุมไหล่สำหรับคู่สมรส ผู้นำ 21 เขตเศรษฐกิจที่มาร่วมประชุมผู้นำเอเปกที่ประเทศไทย เมื่อปลายปี 2546 จนที่นี่ เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ “หมู่บ้านทอผ้าเอเปก” (คลิกเพื่อชม =>ตัวอย่างผ้าทอที่นำไปตัดเสื้อให้แก่ผู้นำเอเปก)
“ที่เรามีโอกาสทำงานนี้ เพราะที่นี่เคยทอผ้ายกทอทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ หลายผืน ประกอบกับมีผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไหมนำเสนอผลงานของเราให้ท่านนายกฯ พิจารณา ซึ่งท่านได้เลือกด้วยตัวเอง เพราะท่านจัดเป็นผู้เชี่ยวชาญผ้าไหมคนหนึ่ง ซึ่งเราใช้เวลาทำทั้งหมด 6 เดือน โดยเร่งทำทั้งวันทั้งคืนให้ทันกำหนด ซึ่งชาวบ้านทุกคนก็ร่วมมือร่วมใจกันอย่างดีมาก เพราะถือว่างานระดับชาติ”
เขาเผยว่า ทุกวันนี้ การออกแบบ และเก็บลาย จะมีเพียงตัวเขา และลูกศิษย์อีกไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้ โดยชาวบ้านจะเข้ามาช่วยในการทอผ้าตามตะกอที่เก็บลายไว้ แต่ได้พยายามจะสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ มาสืบทอดภูมิปัญญานี้ โดยนำเด็กผู้ชายในบ้านท่าสว่างมาฝึกการออกแบบ ส่วนผู้หญิงจะฝึกทักษะในการทอ โดยจะให้เรียนรู้จากการทำงานกับผู้ใหญ่ ให้เกิดการซึมซับจนเกิดความชำนาญ
ขณะนี้ มีชาวบ้านที่เป็นสมาชิกกลุ่มเข้ามาร่วมทำงานประมาณร้อยกว่าคน ซึ่งจะมีการหมุนเวียนเปลี่ยนเข้ามาทำงาน โดยเฉลี่ยชาวบ้านต่อคนจะมีรายได้ 7,000 – 8,000 บาท / เดือน
สำหรับช่องทางจำหน่าย จะทำตามคำสั่งซื้อโดยตรงจากกลุ่มลูกค้า ที่เป็นนักสะสมผ้าไหม กับกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ที่นำไปตกแต่งสถานที่ นอกจากนี้ ยังมีบริษัทตัวแทนจำหน่ายมารับไปจำหน่ายต่อเองด้วย โดยยอดขายต่อเดือน ถ้าเป็นผืนทอด้วยพันกว่าตะกอ เดือนละเกือบสิบผืน ส่วนผืนทอด้วยร้อยกว่าตะกอจะมียอดขายหลายสิบผืน
ปัญหาของกลุ่ม คือ สมาชิกยังไม่ได้ทำงานนี้ เป็นอาชีพหลัก แต่ละคนยังยึดมั่นกับอาชีพทำนา ถ้ามีออเดอร์เข้ามาจำนวนมาก จะผลิตไม่ทัน แต่ทั้งนี้ อ.วีรธรรม บอกว่า ไม่ต้องการจะเร่งกำลังการผลิต เพราะไม่อยากเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวบ้าน
“ในการรับงาน จะเป็นอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบ คงไม่ได้ ส่วนหนึ่ง ผมคิดว่า เป็นสิ่งดี เพราะนอกจากชาวบ้านจะมีงานทำแล้ว ก็ยังรักษาวิถีชีวิตดั่งเดิมไว้ เมื่อมีออเดอร์เข้ามา ก็จำเป็นต้องบอกลูกค้าให้เข้าใจว่า เป็นงานละเอียด การกำหนดให้ตรงเวลา ทำได้ยาก เพราะเราทำงานให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตชาวบ้าน”
************************
ย้อนดูผ้าทอตัดเสื้อผู้นำเอเปก
พื้นทอเป็นลายดอกลายฝาบาตรสลับประจำยามดอกสี่กลีบ โดยยกไหมเป็นลวดลาย และผสานเทคนิคการจกทองเป็นลายรูปสัตว์หิมพานต์ 6 ชนิด ประกอบด้วย ช้าง สิงห์ ราชสีห์ คชสีห์ นกทัณฑิมา และนกยูง โดยเรียงสลับกันไปบนผืนผ้า
สำหรับประเทศมุสลิม ที่มีข้อห้ามทางศาสนา จะเปลี่ยนจากลายภาพสัตว์เป็นลายดอกพุดตาน 6 แบบ
ความพิเศษของผ้า คือ ส่วนที่ยกไหมจะมองเห็นลายแค่ด้านเดียว เนื่องจากเพิ่มขั้นตอนในการเก็บลาย ใช้คนทอ 5 คนต่อผืน วันหนึ่งทอได้ 5 ซม. ราคาขายให้รัฐบาลในเวลานั้น เมตรละ 30,000 บาท
ส่วนผ้าคลุมไหล่สำหรับคู่สมรสผู้นำ ความยากอยู่ที่ปลายผ้า ต้องใช้กระสวยถึง 47 กระสวย เพื่อให้เกิดสีต่างๆ วันหนึ่งจะทอได้แค่ 2 ซม. ราคาขายให้รัฐบาลในเวลานั้น เมตรละ 79,000 บาท
คลิกเพื่อชม =>ตัวอย่างผ้าทอที่นำไปตัดเสื้อให้แก่ผู้นำเอเปก
*****
โทร.0-1931-5809