xs
xsm
sm
md
lg

กระเป๋าผักตบชวาโกอินเตอร์ ชาวยุ่นสั่งเพียบแต่ยังผลิตไม่ทัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


การถ่ายทอดฝีมือด้านการจักสานของบรรพบุรุษ ใครเลยจะคิดว่าสามารถถ่ายทอดมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน โดยได้นำกระบวนการขั้นพื้นฐานของการจักสานมาพัฒนา แถมได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานภาครัฐ จนถึงขั้นส่งออกไปยังต่างประเทศ ส่งผลให้ในปัจจุบันออเดอร์จากชาวต่างชาติมีมาก โดยเฉพาะจากประเทศญี่ปุ่น ทำให้กลุ่มชาวบ้านผลิตไม่ทันเพราะเป็นงานแฮนด์เมดล้วนๆ

นางจรวย เกิดเกษม หัวหน้ากลุ่มหัตถกรรมผักตบชวาบ้านอ้อย อ.สรรพยา จ.ชัยนาท เล่าถึงการจัดตั้งกลุ่มผักตบชวาขึ้นว่าเกิดจากวัสดุที่นำมาใช้ในการจักสานคือผักตบชวามีเป็นจำนวนมากในท้องถิ่น จึงนำมาสานเป็นข้าวเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน จนได้รับการพัฒนาเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะกระเป๋าจากผักตบชวาที่ได้นำผักตบชวามาย้อมสี เลียนแบบสีธรรมชาติ จนกลายเป็นสินค้าส่งออกและเป็นที่นิยมของชาวญี่ปุ่น รวมถึงยังได้รับการการันตีด้วยรางวัลโอทอป 5 ดาว พร้อมได้รับมาตรฐานรับรองสินค้ามาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.)อีกด้วย

“กระเป๋าผักตบชวาของเรา เกิดจากการรวมตัวของชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงประมาณ 70 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแม่บ้านที่จะใช้เวลาว่างมาสานกระเป๋าให้เรา รวมถึงการที่เราไปสอนให้กับเด็กนักเรียนตามโรงเรียนต่างๆ แต่นักเรียนกลับนำงานที่เราสั่งไปให้แม่ทำให้ เราจึงได้ชาวบ้านที่มีฝีมือจากตรงจุดนี้ด้วย ซึ่งค่าแรงจะจ่ายเป็นชิ้นงานขึ้นอยู่กับความยากง่ายของตัวกระเป๋าโดยค่าแรงเริ่มตั้งแต่ 70-150 บาท/ใบ ทั้งนี้ในเรื่องของลายกระเป๋าที่เรานำมาจักสานต่างๆ จะเป็นการแกะลายเครื่องจักสานบรรพบุรุษที่ใช้ไม้ไผ่และกก มาทำการสาน โดยให้คนเฒ่าคนแก่ขึ้นลายจากไม้ไผ่ให้ และเราก็นำมาดัดแปลงกับผักตบชวา จนได้ออกมาเป็นกระเป๋าที่มีลวดลายโดนเด่น”

หลังจากที่ชาวบ้านได้รวมกลุ่มกันสานกระเป๋าผักตบชวาเพื่อจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ทำให้มีรายได้เข้ามาในกลุ่มมาก จึงได้จัดตั้งเงินกองทุน เพื่อให้สมาชิกได้กู้ยืมในดอกเบี้ยที่ต่ำ แถมยังช่วยแก้ปัญหาการกู้เงินนอกระบบที่ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราที่สูง ซึ่งในปัจจุบันกลุ่มหัตถกรรมผักตบชวาบ้านอ้อยมีสมาชิกในเครือข่ายแล้วกว่า 300 ราย ส่งผลให้สภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านดีขึ้นเรื่อยๆ

ผักตบชวาไม่พอถึงขั้นต้องปลูกเอง

ทั้งนี่การที่มีออเดอร์จากต่างประเทศเข้ามามาก จนทำให้กลุ่มชาวบ้านต้องเร่งผลิต จนทำให้วัสดุที่เป็นผักตบชวาในท้องถิ่นไม่เพียงพอ โดยในช่วงแรกได้ซื้อจากจังหวัดใกล้เคียงในราคากิโลกรัมละ 25 บาท แต่ด้วยอัตราค่าเดินทางและการขนส่งทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น จึงได้เปลี่ยนแนวคิดมาทำการปลูกผักตบชวาเอง ซึ่งผักตบชวาจะใช้เวลาปลูกเพียง 3 เดือนก็จะได้ผลผลิตที่นำมาใช้งานได้ โดยที่ผ่านมาก็มีชาวบ้านที่ไม่ชอบการจักสานหรือไม่มีเวลาในการมานั่งทำการสานกระเป๋า ก็จะตัดผักตบชวามาขายแทน ซึ่งเป็นการเพิ่มรายได้อย่างครบวงจรให้กับคนในท้องถิ่นอีกทางหนึ่ง

ชาวยุ่นสั่งเพียบแต่ยังผลิตไม่ทัน

การที่เป็นผลิตภัณฑ์จากแฮนด์เมดล้วนๆ จึงเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติทั้งในแถบยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้กำลังการผลิตของชาวบ้านไม่เพียงพอต่อความต้องการของชาวต่างชาติ ซึ่งออเดอร์จากเดิมตกเดือนละ 500 ใบ แต่ในขณะนี้เพิ่มเป็น 2,000 ใบทำให้ชาวบ้านก็เร่งการผลิตกันอย่างหนัก ทั้งนี้ลูกค้าในแถบเอเชีย จะชอบกระเป๋าผักตบชวาที่มีสีสัน และลวดลายที่ทันสมัย ส่วนลูกค้าในแถบยุโรปจะเน้นกระเป๋าไม่มีสีสัน แต่จะเป็นกระเป๋าที่มาจากสีของผักตบชวาอย่างแท้จริง

มผช.บุกเรื่องบริหารจัดการให้ดีขึ้น

แม้ว่าจะเป็นการทำงานของกลุ่มชาวบ้านในชุมชนกันเอง แต่ก็ได้รับการช่วยเหลือและให้คำแนะนำจากหน่วยงานภาครัฐฯ จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน กระทรวงอุตสาหกรรม เข้ามาช่วยเหลือในเรื่องการบริการจัดการ ซึ่งทาง ดร.อนันต์ สุวรรณปาล เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน กล่าว่า ทางมผช.ได้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มชาวบ้านหัตถกรรมผักตบชวาบ้านอ้อย โดยเฉพาะการทำบัญชี และการเสนอแนะให้ทำหนังสือขั้นตอนการสานกระเป๋าในลวดลายต่างๆ ที่ทางกลุ่มได้สานอยู่ เพื่อความสะดวกในการสอนชาวบ้านคนอื่นที่ต้องการสานกระเป๋าผักตบชวาบ้าง และเพื่อมาตรฐานเดียวกันในการส่งออก ซึ่งก็เป็นที่พอใจของชาวบ้าน เพราะหลังจากที่สานกระเป๋าส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นแล้ว การตีกลับมีเปอร์เซ็นต์น้อยลงมาก เพราะเกิดจากการที่ชาวบ้านได้ศึกษาวิธีสานต่างๆ จากหนังสือทำให้ได้กระเป๋าทุกใบมีมาตรฐานเดียวกัน

“จากการที่เราได้เข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านกลุ่มนี้ พบว่ายังมีปัญหาในเรื่องสีที่นำมาย้อมได้มาจากธรรมชาติ ทำให้สีลอกหลุดติดมือ และคิดค้นสารป้องกันเชื้อรา ซึ่งทางเราจะนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับทางกระทรวงวิทยาศาสตร์เพื่อให้คิดค้นสีที่นำมาใช้ให้มีความปลอดภัยและใกล้เคียงกับสีจากธรรมชาติให้มากที่สุด และอีกปัญหาหนึ่งคือ เรื่องทำให้ผลิตภัณฑ์เสร็จสมบูรณ์พร้อมใช้ เมื่อถึงมือชาวต่างชาติเลย เนื่องจากที่ผ่านมาชาวญี่ปุ่นที่รับกระเป๋าไปจำหน่ายได้นำไปเคลือบสารบางอย่างไม่ให้สีลอกติดมือ และนำไปบุผ้าไหม ร้อยลูกปัด เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ซึ่งทางเรากำลังคิดหาทางให้ชาวบ้านทำผลิตภัณฑ์ให้สมบูรณ์ โดยเมื่อไปถึงประเทศญี่ปุ่นก็สามารถจำหน่ายได้เลย” ดร.อนันต์กล่าว

***สนใจติดต่อ 0-9536-3839 หรือ 0-5649-9496***









กำลังโหลดความคิดเห็น