xs
xsm
sm
md
lg

แฟรนไชส์การศึกษานิ่ง! "อีเอฟ-มาเอ็ด" ดิ้น มุ่งทางโต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"อีเอฟ อิงลิชเฟิร์ส" กับ "มาเอ็ด" ไม่หวั่นแฟรนไชส์การศึกษาอยู่ในภาวะนิ่ง ชี้ตลาดการศึกษาโตต่อเนื่อง เตรียมขยายสาขาต่างจังหวัดเน้นหัวเมืองใหญ่ ชูจุดแข็งด้านระบบ หลักสูตร อาจารย์ แข่งกับโรงเรียนขนาดเล็ก ระบุแม้ราคาถูกยังมีผลต่อการตัดสินใจเรียน คาดแต่อีกไม่นานผู้บริโภคจะหันเลือกมาตรฐานก่อน มองคู่แข่งระดับเดียวกันเป็นคู่ค้าทางธุรกิจ

แม้ว่าโดยภาพรวมของธุรกิจแฟรนไชส์การศึกษาจะอยู่ในภาวะทรงตัว ไม่ค่อยมีผู้ลงทุนสนใจมากนัก อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการหาทางสร้างธุรกิจด้วยสารพัดกลยุทธ์

เชื่อภาษาอังกฤษ-จีนโตไม่หยุด

"แม้ว่าภาพรวมการเติบโตของแฟรนไชส์การศึกษาในปีที่ผ่านมาจะอยู่ในสภาวะนิ่งๆ แต่ทิศทางการเติบโตของธุรกิจการศึกษาปีนี้น่าจะดีขึ้น เพราะยังเป็นทางเลือกหนึ่งในการลงทุนทำธุรกิจ ซึ่งผู้ประกอบการไม่ต้องไปเริ่มต้นจากศูนย์ และเป็นธุรกิจที่ไม่ต้องทำโดยลำพัง เนื่องจากแฟรนไชซอร์จะเข้ามาให้ช่วยเหลือได้ในเรื่องโนว์ฮาว" วุฒิพงษ์ ปิติพรสิน ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท อีเอฟ อินเตอร์เนชันแนล แลงเกวจ เซอร์วิสเชส จำกัด ผู้ให้บริการศูนย์ภาษาอีเอฟ อิงลิชเฟิร์ส กล่าว

สำหรับการเติบโตของธุรกิจแฟรนไชส์ หากย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีถือว่าเติบโตมาก เพราะเดิมคนไม่ค่อยรู้จักธุรกิจแฟรนไชส์เท่าไร โดยธุรกิจแฟรนไชส์การศึกษาเป็นธุรกิจหนึ่งที่แฟรนไชซีให้ความสนใจ แต่อาจจะเป็นตัวเลือกอันดับ 3 หรือ 4 ซึ่งการศึกษาถือเป็นธุรกิจที่ไม่ตามเทรนด์แฟชั่น และไม่ค่อยมีความหวือหวามากนักแต่มีการเติบโตเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังเป็นธุรกิจที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไม่ส่งผลกระทบด้วย เพราะแม้เศรษฐกิจจะไม่ดี แต่พ่อแม่ยังคงต้องส่งลูกเรียนหนังสือ

การเติบโตของธุรกิจการศึกษาปีนี้น่าจะเติบโต 20-30% ต่อปี โดยคาดว่าตลาดแฟรนไชส์ธุรกิจการศึกษามีผู้เรียนประมาณ 10,000 คน ซึ่งอีเอฟฯ มีส่วนแบ่งตลาด 20% หรือประมาณ 2,000 คน

"ระยะหลังนี้ผมเห็นว่าคนไทยมีการติดต่อต่างประเทศมากขึ้น และนโยบายรัฐสนับสนุนให้คนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง ทำให้ปัจจุบันคนไทยเริ่มเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษมากขึ้น ถ้าให้เลือกเรียนภาษาจะเลือกภาษาอังกฤษเป็นอันดับหนึ่ง รองลงจะเป็นจีนหรือญี่ปุ่น สมัยก่อนอาจจะเป็นญี่ปุ่น แต่ปัจจุบันจีนมาแรงเพราะเศรษฐกิจเขาขยายตัว"

วุฒิพงษ์กล่าวต่อว่า สำหรับปัจจัยในการเลือกเรียนขึ้นอยู่กับความต้องการใช้ภาษาของแต่ละคนมากกว่า อย่างถ้าคนที่ต้องมีการติดต่อธุรกิจกับประเทศจีนก็ต้องเลือกเรียนภาษาจีน แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าจะต้องติดต่อกับประเทศไหนก็จะเลือกเรียนภาษากลางอย่างภาษาอังกฤษ

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเศรษฐกิจของประเทศจีนเติบโตเร็วมาก ส่งผลให้คนส่วนใหญ่นิยมหันมาเรียนภาษาจีนมากขึ้น เหมือนกับช่วงหนึ่งที่กระแสความนิยมของการเรียนภาษาญี่ปุ่นมีมากขึ้น ซึ่งตรงนี้ไม่ถือว่ามีผลกระทบต่อภาษาอังกฤษ เนื่องจากภาษาอังกฤษยังเป็นพื้นฐานของการเรียนภาษาต่างประเทศอยู่ จะเห็นว่าปัจจุบันคนไทยที่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้ก็ยังมีไม่มากเท่ากับคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษได้

ทางด้านอาจารย์ฟู๋เหอหนาน ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ โรงเรียนภาษาจีนศึกษา (มาเอ็ด) กล่าวในทิศทางเดียวกันว่า ภาพรวมธุรกิจการศึกษายังโตต่อไปได้ ที่ไปได้ดีมีภาษาอังกฤษ จีน และคอมพิวเตอร์ที่สอนเกี่ยวกับการออกแบบ โดยตลาดภาษาจีนมีผู้เปิดจำนวนมาก แต่ที่เปิดเป็นแฟรนไชส์มีน้อยมาก ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 3 แบรนด์ คือ มาเอ็ด, โอเคแอลเอส และไอซ์ โดยมาเอ็ดเป็นรายแรกที่เปิดแฟรนไชส์ภาษาจีน

สำหรับตลาดธุรกิจการศึกษาภาษาจีนถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มาก เมื่อ 10 ปีก่อนเป็นกลุ่มนักธุรกิจที่มาเรียนเพื่อใช้ติดต่อธุรกิจ แต่เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา เปลี่ยนเป็นนักศึกษาที่ยังไม่ได้ทำงานมาเรียนเพื่อใช้สมัครงาน อย่างไรก็ดีในช่วงปี 1-2 ปีก่อน ตลาดเปลี่ยนเป็นกลุ่มนักศึกษาที่กำลังศึกษาหรือนักเรียนมัธยม รวมทั้งเด็กอนุบาล มาเรียนมากขึ้น

"เมื่อก่อนผู้ใหญ่มาเรียนเพื่อติดต่อธุรกิจ แต่ตอนหลังๆ มีมหาวิทยาลัยหลายแห่งเปิดสอน ทำให้ผู้ใหญ่มองว่าเขามาเรียนก็ไม่ทันแล้ว ผู้ใหญ่จึงมาเรียนน้อยลง หากจะมาเรียนบ้างก็เป็นแบบตัวต่อตัวมาเรียนเพื่อการค้า บางคนมองว่าจ้างนักศึกษาที่เรียนจบด้านภาษาจีนมาทำงานก็ได้ เพราะปัจจุบันมีนักศึกษาที่จบด้านนี้เยอะ แต่เมื่อ 10 ปีก่อนมีน้อยทำให้เจ้าของกิจการต้องเรียนเอง ส่วนตลาดนักเรียน ช่วงแรกๆ ผู้ปกครองมักจะให้เรียนภาษาอังกฤษกับคอมพิวเตอร์ก่อน แต่ช่วงหลังๆ ภาษาจีนมาแรงขึ้น จึงเรียนเพื่อกวดวิชาสอบเอนทรานซ์ หรือสอบเข้าเรียนชั้นประถมหนึ่ง"อาจารย์ฟู๋เหอหนานกล่าว

สบช่องแนวรุกเน้นบุกภูธร

วุฒิพงษ์กล่าวถึงขยายสาขาว่า ปัจจุบันอีเอฟฯ ขยายในรูปแบบแฟรนไชส์ได้ 12 สาขา อยู่ในกรุงเทพฯ 9 สาขา และต่างจังหวัด 3 สาขา คือ เชียงใหม่ หาดใหญ่ และนครศรีธรรมราช และในปี 2548 มีเป้าหมายจะเปิดเพิ่มอย่างน้อย 5 สาขา เน้นการขยายสาขาไปต่างจังหวัด เช่น ภูเก็ต เชียงราย ระยอง ขอนแก่น อุดรธานี ฯลฯ

"แต่เราไม่ได้เปิดทั้ง 5 แห่งพร้อมกัน เราต้องดูว่าทำเลที่เปิดว่าอยู่ตรงไหน กระทบกับผู้ประกอบการรายเดิมหรือเปล่า มีความเหมาะสมจะเปิดตรงนั้นหรือเปล่า จริงๆ แล้วเราพยายามจะให้เป็น 1 จังหวัด 1 สาขา แต่ถ้าเป็นจังหวัดใหญ่อย่างเชียงใหม่เราอาจจะให้สองสาขา แต่ถ้าเป็นภูเก็ตเราจะให้สาขาเดียว"วุฒิพงษ์กล่าว

ปีที่ผ่านมาบริษัทแม่กำหนดให้มีครบ 20 สาขา แต่บริษัทฯ มองว่าการขยายสาขาหากขยายมากเกินไปจะไม่มีคุณภาพจึงขอเพิ่ม 5 สาขาก่อนและจะหันไปเจาะตลาดต่างจังหวัดแทน เนื่องจากไม่ต้องการให้กระทบการแฟรนไชส์ในกรุงเทพฯ และเพื่อให้คนต่างจังหวัดรู้จักอีเอฟฯ มากขึ้น โดยสาขาแฟรนไชส์ต่างจังหวัดส่วนใหญ่จะเป็นสาขาสแตนอะโลนที่มีพื้นที่สะดวกและสามารถจอดรถได้ ส่วนการขยายสาขาในกรุงเทพฯ คงต้องดูพื้นที่ที่มีศักยภาพ เช่น รังสิต พระรามสอง

อย่างไรก็ดี อีเอฟฯจะขยายสาขาได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ หากมีการแบ่งแฟรนไชส์ 2 รูปแบบ คือ 1.การลงทุน 4-6 ล้านบาท หรือขนาดมาตรฐาน และ 2. การลงทุน 1-2 ล้านบาทหรือขนาดเล็ก แต่เนื่องจากทางบริษัทแม่ไม่ให้มีการขยายแบบขนาดเล็ก เพราะเกรงว่าหากลดจำนวนเงินลงทุนโรงเรียนอาจจะไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนด เช่น อีเอฟฯ ทุกสาขาจะต้องมีบันไดหนีไฟ ทุกห้องเรียนต้องมีขนาด 20 ตารางเมตรตามที่ขออนุญาตไว้กับกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น

ส่วนทิศทางการทำตลาดของอีเอฟในปีนี้ จะมุ่งไปยังกลุ่มผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นหรือให้มีสัดส่วนเป็น 50% จากเดิมผู้เรียนอยู่ในกลุ่มเด็ก (อายุ 5-14 ปี) 60% และผู้ใหญ่ (15 ปีขึ้นไป) 40% โดยจะเน้นการเข้าไปฝึกอบรมให้พนักงานของบริษัทต่างๆ ในเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อสนทนากับชาวต่างชาติ เนื่องจากอีเอฟฯ มีจุดแข็งที่แตกต่างจากสถาบันสอนภาษาอื่น คือ อีเอฟฯ จะส่งอาจารย์เข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทที่ฝึกอบรม หลังจากอบรมเสร็จระยะหนึ่ง

อาจารย์ฟู๋เหอหนานกล่าวว่า ปัจจุบันมาเอ็ดมีสาขาแฟรนไชส์รวมกว่า 24 แห่ง แบ่งเป็น เต็มรูปแบบ 12 สาขา ซื้อหลักสูตร 2 สาขา และซื้อหลักสูตรไปสอนในโรงเรียน10 กว่าแห่ง สำหรับในปีนี้มาเอ็ดคาดว่าจะขยาย 20 สาขาโดยเน้นการออกตลาดต่างจังหวัด หรือหัวเมืองใหญ่ เช่น โคราช ภูเก็ต ฯลฯ เนื่องจากยังขาดสถานที่สอนภาษาจีนที่ได้มาตรฐาน มีเพียงโรงเรียนสอนภาษาจีนตามบ้าน หรือสมาคมเท่านั้น

ชูจุดแข็งแข่งรร.ห้องแถว

สำหรับจุดแตกต่างของอีเอฟฯ กับสถาบันภาษาอื่นๆ วุฒิพงษ์กล่าวว่า คือ 1.อาจารย์ของอีเอฟฯ มาจากประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก อย่างอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ และสามารถหมุนเวียนอาจารย์จากทั่วโลกซึ่งอีเอฟฯมีสาขาอยู่มากมายมาได้ จึงไม่มีปัญหาขาดแคลนอาจารย์ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของธุรกิจแฟรนไชส์การศึกษา

2.อีเอฟฯ มีศูนย์คัดสรรอาจารย์ อยู่ที่อเมริกา และอังกฤษ เพื่อคัดสรรอาจารย์ที่มีคุณภาพ อย่างไรก็ดี แฟรนไชซีสามารถหาอาจารย์เองได้แต่ต้องให้บริษัทฯ สัมภาษณ์และอบรมก่อนจะสอนจริง และอาจารย์ผู้สอนต้องทำสัญญากับอีเอฟฯ 2 ปี

และ3.อีเอฟฯ มีการพัฒนาหลักสูตรอยู่ตลอดเวลา เช่น ปีนี้มีการพัฒนาหลักสูตร English@EF Plus E-Learning ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ใหญ่โดยเกิดจากการนำหลักสูตร English Town และหลักสูตร English First มาผสมกันเพื่อให้เป็นหลักสูตรที่ผสมผสานการเรียนภาษาอังกฤษในห้องเรียนและอินเตอร์เน็ต ทำให้ผู้เรียนทบทวนการเรียนได้ไม่จำกัด และยังเข้าไปพูดคุยกับนักเรียนอีเอฟฯ ชาติอื่นๆ ได้ส่วน High Flyer เป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษ สำหรับเด็กอายุระหว่า 7-10 ปี ในแบบ Communication Method เพื่อให้เด็กช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริงได้ และมีการทบทวนบนเรียนโดยใช้เกมเป็นสื่อการสอน

อาจารย์ฟู๋เหอหนานกล่าวถึงจุดแข็งของมาเอ็ดว่า ต่างจากโรงเรียนสอนภาษาจีนขนาดเล็ก คือ มาเอ็ดเน้นการพัฒนาหลักสูตรการเรียนและสร้างเทคนิคการเรียนการสอนใหม่ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่จะเปลี่ยนไปในอีก 5 ปีข้างหน้ามาเป็นเรื่องคุณภาพมากขึ้น จากเดิมที่มองแต่เรื่องราคา

ปรับกลยุทธ์ดึงคู่แข่งเป็นคู้ค้า

วุฒิพงษ์กล่าวว่า ตลาดสถาบันสอนภาษาอังกฤษในเมืองไทยแบ่งตามระดับราคาเรียน อีเอฟฯอยู่ในกลุ่มระดับกลางถึงบนหรือบีบวกขึ้นไป ค่าเล่าเรียนของผู้ใหญ่อยู่ที่ 6,460 บาท ส่วนเด็ก 6,840 บาทต่อหลักสูตร เพราะเด็กต้องการการดูแลมากกว่าผู้ใหญ่ หากเป็นสาขาต่างจังหวัดค่าเรียนจะถูกกว่าในกรุงเทพฯ 10% จริงๆ แล้วผมมองว่ากลุ่มตลาดราคาระดับบนน่าจะมีอยู่ประมาณ 30% ที่เหลือประมาณ 70%อยู่ระดับกลางถึงล่าง

โดยภาพรวมแบ่งตลาดเป็น3 ระดับ คือ ระดับบนอยู่ที่ 7,000-8,000 บาท ระดับกลาง 2,000-3,000 บาท และระดับล่าง 1,500-2,000 บาท ต่อหลักสูตร

"จริงๆ แล้วผมไม่ได้มองว่าโรงเรียนอื่นๆ เป็นคู่แข่งแต่มองว่าเป็นคู่ค้ามากกว่า เพราะบางที่เรามีการร่วมกับโรงเรียนสอนดนตรีเคพีเอ็น หรือโรงเรียสอนภาษาจีน จัดคอรัสตอนเช้าเรียนภาษาอังกฤษตอนบ่ายเรียนดนตรี หรือเรียนภาษาจีน"วุฒิพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า

อาจารย์ฟู๋เหอหนานกล่าวเสริมว่า ปัจจุบันตลาดมองเรื่องของราคาถูกซึ่งเป็นอุปสรรคของสถาบันฯ เช่น ค่าเรียนตามบ้าน 50 บาทต่อชั่วโมง แต่สถาบันฯ 100 บาทต่อชั่วโมง ต่างกันเท่าตัว ทำให้คนที่เปิดโรงเรียนสอนภาษาจีนขนาดใหญ่ยังไม่เห็นโอกาสทำกำไรในธุรกิจนี้มากนัก

"แต่เรามองคู่แข่งของเราเป็นคู่ค้า เราไม่มองเขาเป็นคู่แข่ง มีหลายสาขาที่เราร่วมมือกับคู่ค้า เช่น โรงเรียนซุปเปอร์เม็มโมรี่ซึ่งเป็นสอนฝึกความจำ เพราะผู้ปกครองทำงานไม่มีเวลามารับลูก เราจะให้ทางออกแบบเช้าเรียนภาษาจีนเย็นเรียนซุปเปอร์เม็มโมรี่ หรือโรงเรียนที่อยู่ใกล้กับเรา และโรงเรียนจะจัดการเรื่องอาหารให้กับเด็กๆ ด้วย" อาจารย์ฟู๋เหอหนานกล่าว

ลงทุน 4 ล้านบาท เปิด "อีเอฟ อิงลิชเฟิร์ส"

1.ค่าแฟรนไชฟี 1,000,000 บาท ต่ออายุสัญญา 10 ปี
2.ค่าตกแต่งสถานที่อีกประมาณ 2,000,000 บาท
3.อีก 1,000,000 บาทเป็นค่าบริหารงานของสาขา
4.ก่อนทำการเปิดสาขาแฟรนไชซี่ต้องรับการอบรมจากอีเอฟฯ เช่นการดูแลสถาบัน อาจารย์ การขายหลักสูตร ฯลฯ
5.อาจารย์ต้องรับการอบรมจากอีเอฟฯ เกี่ยวกับวิชาการสอน หลักสูตรต่างๆ
6.พื้นที่ในการเปิดสาขา 300-350 ตารางเมตร มีที่จอดรถ
7.หลักสำคัญแฟรนไชซีต้องมีใจรักในการทำธุรกิจ

"มาเอ็ด" คิดราคา 2 ล้านบาท

1.ค่าแฟรนไชฟี 300,000 บาท อายุสัญญา 5 ปี
2.ค่าอุปกรณ์ ป้ายต่างๆ และหนังสือเริ่มที่ 300,000 บาทขึ้นกับพื้นที่
3.ค่าตกแต่งประมาณ 800,000 บาทขึ้นกับพื้นที่
4.อีก 600,000 บาทใช้สำหรับการบริหารสาขา
5.แฟรนไชซีต้องเข้ารับการอบรมจากมาเอ็ด ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ
5.1 แฟรนไชซีต้องรู้เกี่ยวกับกฎหมายของกระทรวง กฎระเบียบขององค์กร กฎระเบียบของการเป็นมาสเตอร์แฟรนไชส์
5.2 ต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับการเสียภาษี แผนการทำธุรกิจ การดูแลอาจารย์ และพนักงาน
5.3 รู้เรื่องการขายหลักสูตรการเรียน การแนะนำการศึกษาต่อต่างประเทศ
6.พื้นที่ในการเปิดไม่ต่ำกว่า 200 ตารางเมตร มีสถานที่จอดรถและใกล้แหล่งชุมชน
7.แฟรนไชซีต้องมีความรู้เข้าใจระบบการศึกษาภาษาจีน
8.อาจจะพูดภาษาจีนได้หรือมีความรู้เกี่ยวกับภาษาจีนมาบ้าง
9.ไม่ควรกู้เงินเพื่อมาใช้ในการลงทุน
10.ระยะเวลาคืนทุน 2 ปี




กำลังโหลดความคิดเห็น