xs
xsm
sm
md
lg

“ซาแมนธา” จับความต่างยัดลงขวด มาดใหม่ไวน์ข้าวผสมสมุนไพรไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ขึ้นชื่อว่า “ไวน์” หลายคนคงต้องนึกถึงเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ และผ่านการหมักด้วยองุ่นชั้นเยี่ยม แต่ไวน์ที่จะนำเสนอในครั้งนี้คือไวน์ ที่เกิดจากการหมักข้าวเหนียว และได้มีการผสมสุมนไพรลงไป ทำให้เกิดความแตกต่างที่สร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับเครื่องดื่มไทย "ซาแมนธา" อีกหนึ่งความแตกต่างของวงการไวน์ ที่ได้คิดค้นรสชาติของไวน์ได้อย่างลงตัว แถมยังดีต่อสุขภาพ

ภวินท์อร พัวศิริรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย จู้ด เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตไวน์ข้าวผสมสมุนไพรไทย 4 รส ที่มีแอลกอฮอล์เพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เล่าถึงแนวคิดนี้ว่า เกิดจากกการเห็นความสำคัญของสุราพื้นบ้านประเภทสาโท ที่มีมาช้านาน แต่ด้วยกรรมวิธีการผลิตยังเป็นเพียงการบริโภคในท้องถิ่นเท่านั้น ซึ่งเสน่ห์ของสาโทอยู่ที่รสชาติ และความหอมหวานที่อยู่ในตัวและดื่มง่าย ทั้งยังเป็นสิ่งที่ผูกพันกับคนไทยในท้องถิ่น ที่ควรให้การสนับสนุนและก่อให้เกิดโอกาสทางการค้า

ดังนั้นทางบริษัทฯ จึงให้ความสำคัญในการค้นคว้าวิจัย พัฒนาคุณภาพ กรรมวิธีการผลิต การเก็บรักษา และเสริมจุดเด่นด้วยการเติมสมุนไพรไทยลงไปคือ ขิง, มะนาวและสะระแหน่, ดอกคำฝอยและเสาวรส, ตะไคร้ ซึ่งสมุนไพรตัวต่อไปคือ มะตูม ที่จะนำมาเป็นส่วนผสมและออกสู่ตลาดต่อไป เพื่อสร้างให้เป็นจุดแข็งและดื่มง่าย พร้อมทั้งมีการควบคุมการผลิตในทุกขั้นตอน และการเลือกวัตถุดิบ ส่งผลให้ ซาแมนธา มีเสน่ห์ที่แตกต่างจากสาโททั่วไป จึงเหมาะกับผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย

“เราเชื่อว่ารสชาติที่ทางบริษัทฯ คิดค้นได้นั้นค่อนข้างลงตัว ดื่มง่าย และสามารถเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ไม่ต้องการดื่มจนเมา ซึ่งจุดเด่นที่นอกจากรสชาติแล้ว เรายังไม่ใส่สีและสารกันบูด ดังนั้นสีของไวน์ข้าวจึงเป็นสีที่มาจากธรรมชาติอย่างแท้จริง แถมแพคเกจยังได้ออกแบบให้ออกมาในรูปแบบไทยๆ ด้วยเหมือนขวดยาธาตุ สะดวกในการพกพา ซึ่งก็ตรงกับความเป็นไทยที่เราต้องการนำเสนอ”

สำหรับการจำหน่ายในประเทศไทย ขณะนี้ได้มีการนำไปจำหน่ายตามร้านอาหาร โรงแรม และกำลังอยู่ในระหว่างการนำไปจำหน่ายตามผับระดับพีเมี่ยม ที่ลูกค้ามีกำลังซื้อสูง เนื่องจากราคาของไวน์ข้าวซาแมนธาค่อนข้างสูงคือขวดละ 95 บาท ขนาด 120 มล. ส่วนการจำหน่ายในต่างประเทศจะเน้นในแถบยุโรป ส่วนในเอเชียจะเน้นที่ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากที่ผ่านมามีชาวญี่ปุ่นได้มีโอกาสชิมไวน์ข้าวของไทยก็ติดใจ ซึ่งมีรสชาติเหมือนสาโทของญี่ปุ่น ดังนั้นลู่ทางการจำหน่ายที่ประเทศญี่ปุ่นน่าจะเป็นไปอย่างงดงาม

“การวิจัยผลิตภัณฑ์ไวน์ข้าวของเรา ได้ใช้เวลาในการวิจัยเป็นเวลานาน และลงทุนไปกับงานวิจัยถึง 3 ล้านบาท กว่าจะได้สูตรที่ลงตัวอย่างในปัจจุบัน ซึ่งกรรมวิธีในการผลิตจะค่อนข้างซับซ้อนมากคือต้องการไวน์ตกตะกอนก่อน จึงจะนำมาบรรจุลงขวด ซึ่งต่างกับเครื่องดื่มอาร์ทีดีมาก (Ready to drink) อย่างพวกสปายมาก ตั้งนั้นต้นทุนแต่ละขวดจึงค่อนข้างสูง และในขณะนี้เรายังจ้างให้โรงงานผลิตให้อยู่ แต่คาดว่าภายในปี 48 จะตั้งโรงงานผลิตเอง ใช้งบประมาณ 15 ล้านบาท ซึ่งได้ตั้งเป้าการจำหน่ายในปีหน้าไว้ที่ 500 ลัง”

สำหรับงบการประชาสัมพันธ์และการทำการตลาดอยู่ที่ 3 ล้านบาท แบ่งเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ 50% และการออกโรดโชว์ตามที่ต่างๆ อีก 50% ซึ่งจะเน้นตามจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เกาะสมุย หาดใหญ่ และจ.พังงา เป็นต้น ส่วนการโรดโชว์ในต่างประเทศจะเริ่มที่ อังกฤษ และสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการโรดโชว์กับทางกระทรวงพาณิชย์




ความลงตัวกับอาหารหลากหลายชนิดใน 4 รสชาติ

รสดอกคำฝอยและเสาวรส (Mixed Safflower&Passion Fruit) เหมาะกับผู้ที่ยังไม่คุ้นกับกลิ่นสมุนไพร ซึ่งรสชาติเข้าได้กับอาหารประเภทสแน็ค เช่น เฟรนซ์ฟราย ปอเปี๊ยะทอด ไก่ทอดตะไคร้ หรือทานกับอาหารฝรั่ง เช่น ซุปข้นหอยลาย เนยแข็งกับขนมปัง

รสมะนาวและสะระแหน่ (Mixed Lime&Mint) รสหอมผสมเปรี้ยวเล็กน้อย ซึ่งเมื่อดื่มตอนเย็นจัด จะให้รสชาติคล้ายดื่มไวน์จากประเทศชิลี เหมาะกับคนที่ต้องการความประปรี้กระเปร่า หรือเคร่งเครียดจากการทำงานเหมาะทานกับอาหารที่ค่อนข้างมัน เช่น ติ่มซำ ปูผัดผงกระหรี่ พะแนง ส่วนอาหารต่างประเทศ จะเข้ากับพิซซ่าซีฟู้ด แกงกะหรี่อินเดีย

รสขิง (Ginger) จะให้ความเผ็ดร้อน เหมาะสำหรับคนที่ชอบดื่มค็อกเทล ประเภทมาการิต้า หรือเหล้าตากิล่า ซึ่งหากดื่มในช่วงทานอาหาร จะทำให้ท้องแน่น ส่วนอาหารที่เหมาะสมได้แก่ อาหารเวียดนามต่างๆ แฮมเบอร์เกอร์ หรือหลังทานขนมหวาน เช่น กล้วยบวชชี บัวลอยเผือก

รสตะไคร้ (Lemon Grass) เป็นรสชาติที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ที่ช่วยผ่อนคลาย ช่วยย่อยอาหาร เหมาะทานกับพายอบไส้ทูน่า หรือแซนวิสโฮลวีท หรือทานกับอาหารหนักประเภทหอบทอด ผัดไทย ปลาสามรส เนื้อผัดพริกไทยดำ ส่วนอาหารตะวันตก เช่น ไส้กรอกเยอรมัน เป็นต้น

กำลังโหลดความคิดเห็น