ปัจจุบัน“แชมพู” มีหลายชนิด หลายยี่ห้อ ซึ่งต่างปรับปรุงสูตรให้แปลกแหวกแนว รวมทั้งกลิ่นหอม สีสัน ผลิตภัณฑ์บรรจุ เพื่อชักจูงใจผู้บริโภคให้หันมาใช้สินค้าของตน แต่ลึกๆ แล้วน้อยคนนักจะทราบว่า ภายใต้สีสันและกลิ่นหอมรัญจวนใจนั้นแฝงไว้ด้วยอันตราย! “แชมพูสมุนไพร” จึงเป็นอีกทางเลือกที่ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจมากขึ้น เพราะเชื่อว่าสารสกัดที่ได้จากธรรมชาตินั้นมีความปลอดภัยมากกว่า และกำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้
เช่นเดียวกับนางชลทิวา กิตติเยาวมาลย์ เจ้าของธุรกิจแชมพูสมุนไพร “หยกทิพย์” ของอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เปิดเผยว่า เมื่อประมาณ 12 ปีที่ผ่านมา ตนเกิดอาการผมร่วงมากผิดปกติ คาดสาเหตุน่าจะมาจากการใช้แชมพูสระผม ซึ่งสิ่งที่น่าแปลกใจคือ แชมพูดังกล่าวใช้อยู่เป็นประจำ แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงเกิดอาการผมร่วงจนเห็นได้ชัดมาก จึงหยุดการใช้ และไปตัดผมสั้น แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อาการผมร่วงหยุดลงแต่อย่างไร
กระทั่งได้สูตรยาจากคุณปู่ซึ่งเคยรับราชการเป็นแพทย์หลวงประจำราชสำนักจีน คิดค้นหาตัวยาที่จะมาช่วยรักษาอาการผมร่วงของตน เนื่องจากท่านมีเชื้อสายจีนและมีตำรายาจีนดีที่สามารถรักษาคนไข้ได้ผลชะงัดด้วยการใช้ยาซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรมารักษาจนหาย
สำหรับสูตรยาสมุนไพรที่ใช้รักษาผมร่วงรุนแรงดังกล่าว ประกอบด้วย ตัวยาสำคัญ 2 ชนิด คือ มะกรูดและว่านหางจระเข้ ซึ่งเป็นพืชที่หาได้ง่ายในบ้านเรา โดยนำสมุนไพรทั้ง 2 ชนิดนี้มาประยุกต์ทำเป็นแชมพู ในด้านสรรพคุณนั้นมะกรูดจะช่วยให้หนังศีรษะชุ่มชื่น เส้นผมนิ่ม ดกดำ เป็นเงางาม ขณะที่ว่านหางจระเข้จะช่วยสร้างเซลล์ให้ผมขึ้นเร็ว ไม่มัน เนื่องจากผู้ที่ผมร่วงเร็วมากๆ ผมจะบาง และหนังศีรษะจะมัน ผมใหม่ก็จะไม่ขึ้น
“ ระยะแรกในการผลิตยังไม่มีสูตรในการทำ จึงต้องใช้ความพยายามค่อนข้างสูง ลองผิดลองถูกอยู่ประมาณ 2 เดือน ระหว่างนั้นได้ค้นคว้าศึกษารายละเอียดในการผลิตเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ซึ่งวัตถุดิบที่ใช้สามารถหาได้ง่ายในบ้านเรา รวมถึงการศึกษาเลือกใช้สารเคมีว่าของประเทศใดมีคุณสมบัติอย่างไร และสารเคมีตัวไหนเหมาะที่จะนำมาใช้โดยไม่มีอันตราย กระทั่งลงตัวทุกขั้นตอนแล้วจึงทดลองผลิตแชมพูใช้เอง ” นางชลทิวา กล่าว และเล่าต่อถึงผลที่ได้รับว่า หลังจากที่ได้ทดลองใช้แชมพูที่ผลิตขึ้นเอง ได้ผลเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก อาการหลุดร่วงของเส้นผมลดน้อยลง เส้นผมมีสุขภาพดีขึ้น ในไม่ช้าผมได้หยุดร่วง และกลับมาหนาขึ้น อีกทั้ง ยังดกดำจนถึงปัจจุบัน ต่อมาเมื่อพบว่าใครมีปัญหาเช่นเดียวกันนี้ ก็ได้แนะนำให้นำเอาแชมพูดังกล่าวไปทดลองใช้ เริ่มต้นจากการแจกคนใกล้ชิด ญาติสนิท ให้ใช้ฟรี ซึ่งผลออกมาดีมาก ทุกคนใช้แล้วเห็นผลว่าดีจริงๆ
“ จากการที่ได้ศึกษามาโดยตลอด ทำให้ทราบว่าสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการผมร่วงนั้น เกิดจากการรับประทานยาที่มีผลข้างเคียงทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อเส้นผม รวมทั้งการนอนดึก การสูบบุหรี่จัด รวมไปถึงการใช้แชมพูที่มีกลิ่นหอมมากๆ ก็อาจทำให้ผมร่วมได้เช่นกัน”
ดังนั้น เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมาประกอบกันจนแน่ใจว่า แชมพูสูตรสมุนไพรที่ทำขึ้นมีสรรพคุณดีจริงๆ จึงตัดสินใจขยายผลไปสู่การทำธุรกิจภายในครอบครัว โดยปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกจำหน่าย อาทิ แชมพูสมุนไพรว่านหางจระเข้ผสมมะกรูด ครีมนวดผมสมุนไพรมะกรูด โลชั่นสมุนไพรว่านหางจระเข้สูตรธรรมดา และสูตรเข้มข้น น้ำมันปิดผมหงอก แป้งน้ำว่านหางจระเข้ ผงสีฟัน และ น้ำมันหม่องว่านหางจระเข้ ซึ่งทุกผลิตภัณฑ์จะเน้นที่ไม่แต่งกลิ่นหอม แต่จะใช้กลิ่นผสมที่ได้มาจากธรรมชาติของมะกรูดจึงไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้แต่อย่างใด นอกจากนี้ คุณสมบัติพิเศษอีกประการหนึ่งคือ สามารถเก็บไว้ได้นาน โดยไม่เสื่อมสภาพ ไม่เสื่อมประสิทธิภาพ ใช้แล้วไม่เกิดอาการแพ้
หลังจากจากเริ่มประกอบกิจการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรและได้จดทะเบียนพาณิชย์ มาตั้งแต่ปี 2536 โดยใช้ชื่อร้านและชื่อสินค้าว่า” หยกทิพย์ ” จนกระทั่งเมื่อรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจระดับรากหญ้าให้มีความแข็งแกร่ง จึงต้องการให้ผู้ประกอบการ และ กลุ่มอาชีพจะต้องสร้างตราสินค้า (แบรนด์) เป็นของตัวเอง เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า และเพิ่มศักยภาพในการส่งออก รวมทั้งเพื่อให้สามารถสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง จึงได้รับขอรับความช่วยเหลือจาก กิจกรรมบริการทรัพย์สินทางปัญญา (IPS) ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เกี่ยวกับการจดสิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า ภายใต้ชื่อ “หยกทิพย์” และ การรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน หรือ มผช.
“ การที่ สวทช.ได้เข้ามาสนับสนุนตรงนี้ นอกเหนือจากทำให้สินค้าได้มีการจดทะเบียนแล้วยังช่วยให้เรารับทราบ ข้อมูลใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน รู้จักหน่วยงาน รู้ว่าขั้นตอนควรทำอย่างไร อีกทั้งยังช่วยเปิดโลกทัศน์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งแต่เดิมที่เรารู้เพียงแค่พื้นที่ในอำเภอคลองหลวงเท่านั้น นอกจากนี้ ทาง สวทช. ยังได้ให้การสนับสนุนเกี่ยวกับการจัดทำเว็ปไซด์ สินค้าผ่านอินเทอร์เน็ต ออกแบบโลโก้สินค้า ที่สำคัญคือ การให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ซึ่งเมื่อนำมาใช้รวมๆ กันแล้ว ปรากฎว่า เห็นผลอย่างดีเยี่ยม ” นางชลทิวา กล่าว
และแม้ว่าจะเป็นแชมพูสมุนไพรที่ทางนางชลทิวาคิดค้นสูตรขึ้นเอง แต่ด้วยความต้องการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง นางชลทิวายังได้เข้าร่วมในการอบรม สัมมนาต่างๆ ที่หน่วยงานต่างๆจัดขึ้น เพื่อเพิ่มพูนความรู้ โดยได้รับการสนับสนุนในการขยาดตลาดส่งเสริมให้สินค้าเป็นที่รู้จักมาขึ้น มีโอกาสออกงานแสดงสินค้าตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ มีการกระจายสินค้าเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการส่งสินค้าเข้าร่วมประกวดจนได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์โอทอประดับ 3 ดาวของอำเภอคลองหลวง ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสสำคัญให้กับผู้ประกอบการที่มีความตั้งใจจริงได้ทำงาน
นางชลทิวา กล่าวว่า “ ปัจจุบันผลิตภัณฑ์สมุนไพร”หยกทิพย์” มีช่องทางการจำหน่ายทั้งขายส่งและขายปลีก โดยมีการวางขายทั้งที่สหกรณ์กรุงเทพ 4 สาขา ได้แก่ สาขาปิ่นเกล้า , ลาดหญ้า , บางลำพู และที่เอกมัย , มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตลอดจนออกงานแสดงสินค้าตามสถานที่ต่างๆ ที่หน่วยงานภาครัฐจัดขึ้น รวมทั้งยังได้รับเกียรติให้นำผลิตภัณฑ์แชมพูสมุนไพร”หยกทพิย์” ไปแสดงสินค้าภายในงานไทยแลนด์ เอ็กซ์ซิบิชั่น 2004 ที่กรุงเวียงจันทน์ ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง”
ปัจจุบันแม้ว่านางชลทิวา จะได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ ไม่ว่าจะเป็นสูตรส่วนผสมตลอดจนกรรมวิธีการผลิตให้แก่ลูกสาว เพื่อเป็นมรดกและเป็นสมบัติตกทอดแก่ตระกูลสืบไป พร้อมกับได้โอนกิจการให้กับลูกสาวดำเนินการและบริหารแล้ว ตัวนางชลทิวาเองก็ปลีกออกมาเป็นผู้ให้คำปรึกษา ส่วนด้านการตลาดนั้น จะมีทีมงานคอยดูแลอยู่ไปจนถึงในเรื่องของการดำเนินการด้านประชาสัมพันธ์ ส่วนทางด้านกฎหมายนั้น ก็ได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเป็นอย่างดี ทำให้กิจการเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับจวบจนถึงทุกวันนี้
เช่นเดียวกับนางชลทิวา กิตติเยาวมาลย์ เจ้าของธุรกิจแชมพูสมุนไพร “หยกทิพย์” ของอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เปิดเผยว่า เมื่อประมาณ 12 ปีที่ผ่านมา ตนเกิดอาการผมร่วงมากผิดปกติ คาดสาเหตุน่าจะมาจากการใช้แชมพูสระผม ซึ่งสิ่งที่น่าแปลกใจคือ แชมพูดังกล่าวใช้อยู่เป็นประจำ แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงเกิดอาการผมร่วงจนเห็นได้ชัดมาก จึงหยุดการใช้ และไปตัดผมสั้น แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อาการผมร่วงหยุดลงแต่อย่างไร
กระทั่งได้สูตรยาจากคุณปู่ซึ่งเคยรับราชการเป็นแพทย์หลวงประจำราชสำนักจีน คิดค้นหาตัวยาที่จะมาช่วยรักษาอาการผมร่วงของตน เนื่องจากท่านมีเชื้อสายจีนและมีตำรายาจีนดีที่สามารถรักษาคนไข้ได้ผลชะงัดด้วยการใช้ยาซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรมารักษาจนหาย
สำหรับสูตรยาสมุนไพรที่ใช้รักษาผมร่วงรุนแรงดังกล่าว ประกอบด้วย ตัวยาสำคัญ 2 ชนิด คือ มะกรูดและว่านหางจระเข้ ซึ่งเป็นพืชที่หาได้ง่ายในบ้านเรา โดยนำสมุนไพรทั้ง 2 ชนิดนี้มาประยุกต์ทำเป็นแชมพู ในด้านสรรพคุณนั้นมะกรูดจะช่วยให้หนังศีรษะชุ่มชื่น เส้นผมนิ่ม ดกดำ เป็นเงางาม ขณะที่ว่านหางจระเข้จะช่วยสร้างเซลล์ให้ผมขึ้นเร็ว ไม่มัน เนื่องจากผู้ที่ผมร่วงเร็วมากๆ ผมจะบาง และหนังศีรษะจะมัน ผมใหม่ก็จะไม่ขึ้น
“ ระยะแรกในการผลิตยังไม่มีสูตรในการทำ จึงต้องใช้ความพยายามค่อนข้างสูง ลองผิดลองถูกอยู่ประมาณ 2 เดือน ระหว่างนั้นได้ค้นคว้าศึกษารายละเอียดในการผลิตเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ซึ่งวัตถุดิบที่ใช้สามารถหาได้ง่ายในบ้านเรา รวมถึงการศึกษาเลือกใช้สารเคมีว่าของประเทศใดมีคุณสมบัติอย่างไร และสารเคมีตัวไหนเหมาะที่จะนำมาใช้โดยไม่มีอันตราย กระทั่งลงตัวทุกขั้นตอนแล้วจึงทดลองผลิตแชมพูใช้เอง ” นางชลทิวา กล่าว และเล่าต่อถึงผลที่ได้รับว่า หลังจากที่ได้ทดลองใช้แชมพูที่ผลิตขึ้นเอง ได้ผลเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก อาการหลุดร่วงของเส้นผมลดน้อยลง เส้นผมมีสุขภาพดีขึ้น ในไม่ช้าผมได้หยุดร่วง และกลับมาหนาขึ้น อีกทั้ง ยังดกดำจนถึงปัจจุบัน ต่อมาเมื่อพบว่าใครมีปัญหาเช่นเดียวกันนี้ ก็ได้แนะนำให้นำเอาแชมพูดังกล่าวไปทดลองใช้ เริ่มต้นจากการแจกคนใกล้ชิด ญาติสนิท ให้ใช้ฟรี ซึ่งผลออกมาดีมาก ทุกคนใช้แล้วเห็นผลว่าดีจริงๆ
“ จากการที่ได้ศึกษามาโดยตลอด ทำให้ทราบว่าสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการผมร่วงนั้น เกิดจากการรับประทานยาที่มีผลข้างเคียงทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อเส้นผม รวมทั้งการนอนดึก การสูบบุหรี่จัด รวมไปถึงการใช้แชมพูที่มีกลิ่นหอมมากๆ ก็อาจทำให้ผมร่วมได้เช่นกัน”
ดังนั้น เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมาประกอบกันจนแน่ใจว่า แชมพูสูตรสมุนไพรที่ทำขึ้นมีสรรพคุณดีจริงๆ จึงตัดสินใจขยายผลไปสู่การทำธุรกิจภายในครอบครัว โดยปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกจำหน่าย อาทิ แชมพูสมุนไพรว่านหางจระเข้ผสมมะกรูด ครีมนวดผมสมุนไพรมะกรูด โลชั่นสมุนไพรว่านหางจระเข้สูตรธรรมดา และสูตรเข้มข้น น้ำมันปิดผมหงอก แป้งน้ำว่านหางจระเข้ ผงสีฟัน และ น้ำมันหม่องว่านหางจระเข้ ซึ่งทุกผลิตภัณฑ์จะเน้นที่ไม่แต่งกลิ่นหอม แต่จะใช้กลิ่นผสมที่ได้มาจากธรรมชาติของมะกรูดจึงไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้แต่อย่างใด นอกจากนี้ คุณสมบัติพิเศษอีกประการหนึ่งคือ สามารถเก็บไว้ได้นาน โดยไม่เสื่อมสภาพ ไม่เสื่อมประสิทธิภาพ ใช้แล้วไม่เกิดอาการแพ้
หลังจากจากเริ่มประกอบกิจการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรและได้จดทะเบียนพาณิชย์ มาตั้งแต่ปี 2536 โดยใช้ชื่อร้านและชื่อสินค้าว่า” หยกทิพย์ ” จนกระทั่งเมื่อรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจระดับรากหญ้าให้มีความแข็งแกร่ง จึงต้องการให้ผู้ประกอบการ และ กลุ่มอาชีพจะต้องสร้างตราสินค้า (แบรนด์) เป็นของตัวเอง เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า และเพิ่มศักยภาพในการส่งออก รวมทั้งเพื่อให้สามารถสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง จึงได้รับขอรับความช่วยเหลือจาก กิจกรรมบริการทรัพย์สินทางปัญญา (IPS) ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เกี่ยวกับการจดสิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า ภายใต้ชื่อ “หยกทิพย์” และ การรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน หรือ มผช.
“ การที่ สวทช.ได้เข้ามาสนับสนุนตรงนี้ นอกเหนือจากทำให้สินค้าได้มีการจดทะเบียนแล้วยังช่วยให้เรารับทราบ ข้อมูลใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน รู้จักหน่วยงาน รู้ว่าขั้นตอนควรทำอย่างไร อีกทั้งยังช่วยเปิดโลกทัศน์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งแต่เดิมที่เรารู้เพียงแค่พื้นที่ในอำเภอคลองหลวงเท่านั้น นอกจากนี้ ทาง สวทช. ยังได้ให้การสนับสนุนเกี่ยวกับการจัดทำเว็ปไซด์ สินค้าผ่านอินเทอร์เน็ต ออกแบบโลโก้สินค้า ที่สำคัญคือ การให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ซึ่งเมื่อนำมาใช้รวมๆ กันแล้ว ปรากฎว่า เห็นผลอย่างดีเยี่ยม ” นางชลทิวา กล่าว
และแม้ว่าจะเป็นแชมพูสมุนไพรที่ทางนางชลทิวาคิดค้นสูตรขึ้นเอง แต่ด้วยความต้องการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง นางชลทิวายังได้เข้าร่วมในการอบรม สัมมนาต่างๆ ที่หน่วยงานต่างๆจัดขึ้น เพื่อเพิ่มพูนความรู้ โดยได้รับการสนับสนุนในการขยาดตลาดส่งเสริมให้สินค้าเป็นที่รู้จักมาขึ้น มีโอกาสออกงานแสดงสินค้าตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ มีการกระจายสินค้าเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการส่งสินค้าเข้าร่วมประกวดจนได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์โอทอประดับ 3 ดาวของอำเภอคลองหลวง ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสสำคัญให้กับผู้ประกอบการที่มีความตั้งใจจริงได้ทำงาน
นางชลทิวา กล่าวว่า “ ปัจจุบันผลิตภัณฑ์สมุนไพร”หยกทิพย์” มีช่องทางการจำหน่ายทั้งขายส่งและขายปลีก โดยมีการวางขายทั้งที่สหกรณ์กรุงเทพ 4 สาขา ได้แก่ สาขาปิ่นเกล้า , ลาดหญ้า , บางลำพู และที่เอกมัย , มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตลอดจนออกงานแสดงสินค้าตามสถานที่ต่างๆ ที่หน่วยงานภาครัฐจัดขึ้น รวมทั้งยังได้รับเกียรติให้นำผลิตภัณฑ์แชมพูสมุนไพร”หยกทพิย์” ไปแสดงสินค้าภายในงานไทยแลนด์ เอ็กซ์ซิบิชั่น 2004 ที่กรุงเวียงจันทน์ ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง”
ปัจจุบันแม้ว่านางชลทิวา จะได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ ไม่ว่าจะเป็นสูตรส่วนผสมตลอดจนกรรมวิธีการผลิตให้แก่ลูกสาว เพื่อเป็นมรดกและเป็นสมบัติตกทอดแก่ตระกูลสืบไป พร้อมกับได้โอนกิจการให้กับลูกสาวดำเนินการและบริหารแล้ว ตัวนางชลทิวาเองก็ปลีกออกมาเป็นผู้ให้คำปรึกษา ส่วนด้านการตลาดนั้น จะมีทีมงานคอยดูแลอยู่ไปจนถึงในเรื่องของการดำเนินการด้านประชาสัมพันธ์ ส่วนทางด้านกฎหมายนั้น ก็ได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเป็นอย่างดี ทำให้กิจการเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับจวบจนถึงทุกวันนี้
