Science Buddies แบรนด์ศูนย์วิทยาศาสตร์จากสิงคโปร์เข้าสู่ตลาดไทยด้วยวิธีจับมือเป็นพาร์ตเนอร์กับนักลงทุนไทย เตรียมขยายศูนย์รูปแบบแฟรนไชส์มองการขยายสาขาให้ได้ 15 สาขาภายใน 3 ปี
คาดว่าตลาดมีโอกาสสูงเพราะเด็กไทยยังอ่อนวิทยาศาสตร์ และจะสร้างความรู้ความเข้าใจว่าศูนย์วิทยาศาสตร์ไม่ใช่ศูนย์สอนเสริมเหมือนธุรกิจอื่น ประเมิน 4-5 ปีข้างหน้าวิทยาศาสตร์จะกลายเป็นเรื่องแมส คือเป็นเรื่องที่จำเป็นในการเรียน
นิมิตร ใคร้วานิช กรรมการบริหาร บริษัท เดต้า ดอลล่าร์ จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจนี้เกิดขึ้นเพราะเขาต้องการทำธุรกิจที่มีความรู้และประสบการณ์จากการทำงานด้านวิทยาศาสตร์มาก่อน
"จากประสบการณ์ทำให้ผมรู้ว่าเด็กไทยมีปัญหาเรื่องวิทยาศาสตร์ เด็กไม่มีความเข้าใจในเรื่องของเหตุผล และธุรกิจเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ยังไม่มีมาก่อน เมื่อเราไปดูงานที่ประเทศสิงคโปร์เราพบว่าเขามีการสอนแบบนี้ที่สิงคโปร์ ตอนนี้เขามีความคุ้นเคยกับวิทยาศาสตร์มาก เขามองว่าวิทยา-ศาสตร์เป็นความรู้พื้นฐาน"
แบรนด์ Science Buddies เกิดขึ้นที่สิงคโปร์และเปิดมาได้ 3 ปี มีสาขาทั้งหมด 4 สาขาการเข้ามาทำตลาดในไทยของแบรนด์ Science Buddies เป็นลักษณะพาร์ตเนอร์ คือลงทุนร่วมกันระหว่างบริษัทแม่ ประเทศสิงคโปร์กับผู้ประกอบการไทย และจะขยายตัวในรูปแบบแฟรนไชส์
ปัจจุบันความรู้ของเด็กไทยในวิชาวิทยาศาสตร์นั้นนิมิตรบอกว่าอ่อนมาก เนื่องจากการเรียนในห้องแล็บหรือห้องทดลอง ในห้องๆ หนึ่งจะมีจำนวนนักเรียนมาก 50-60 คน นอกจากนี้บรรยากาศการเรียนของไทยเป็นแบบครูเฉลยคำตอบให้กับเด็ก ซึ่งไม่เหมาะกับการเรียนในแบบปัจจุบัน
ขณะสิ่งที่นักเรียนจะได้รับจากการเรียนที่ Science Buddies คือการพัฒนาทักษะในเรื่องของ 1.การสังเกต ซึ่งตรงนี้เป็นประโยชน์กับวิทยาศาสตร์และการดำรงชีวิตประจำวัน 2.การมีความคิดอย่างสร้างสรรค์ 3.ความเป็นเหตุเป็นผล 4.การสามารถวิเคราะห์แยกแยะ ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาสำคัญที่เด็กไทยยังมีอยู่
สำหรับสารเคมีที่ใช้ในการสอนจะเป็นสารเคมีที่ปลอดภัยกับเด็ก โดยห้องหนึ่งจะมีเด็กเรียนประมาณ 6-8 คน ระบบการสอนจะเป็นทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยในห้องเดียวกัน มีหลักสูตรการเรียน 24 โปรแกรม ซึ่งต้องใช้เวลาในการเรียน 8 ปี จำกัดจำนวนนักเรียนต่อห้องเรียนไม่เกิน 10 คน พื้นของศูนย์จะต้องสามารถหมุนเวียนการเรียนได้ 200 คน โดยกลุ่มเป้าหมายของศูนย์จะเป็นกลุ่มคนที่มีศักยภาพ ตั้งแต่ระดับเอถึงบีขึ้นไป เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้พ่อแม่มีความรู้ทำให้เข้าใจหลักสูตรการเรียนได้ง่ายกว่า
"เราพยายามจะสื่อให้เห็นว่าการเรียนวิทยาศาสตร์ไม่ใช่การเรียนแบบออฟชั่นอย่างดนตรีหรือกีฬา แต่วิทยาศาสตร์เป็นส่วนสำคัญของการเรียนถ้าหากไม่สามารถเรียนวิทยาศาสตร์ ได้ก็จะส่งผลต่อทักษะการเรียนอย่างอื่นๆ เพราะหากไม่รู้วิทยาศาสตร์จะทำให้ทักษะบางอย่างหายไปเราต้องทำให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นสิ่งจำเป็น เราต้องทำให้รัฐเริ่มเห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์"
นิมิตรมองว่าปัญหาของศูนย์วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันคือการจะทำให้เป็นตลาดแมสเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากทำให้ปัจจุบันราคาค่าเรียนวิทยาศาสตร์จึงมีราคาสูงกว่าการเรียนเสริมแบบอื่น ซึ่งคาดว่าอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4-5 ปี ในการทำให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นเรื่องแมสและเป็นเรื่องที่จำเป็นในการเรียน
ส่วนการขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ บริษัทฯ ตั้งเป้าว่าจะขยายให้ได้ประมาณ 15 สาขาภายใน 3 ปี และจะกระจายทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าช่วงต้นปีหน้าจะขยายได้ 5 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และขยายอีก 5 สาขาในต่างจังหวัดภายในสิ้นปี 2548 โดยมองทำเลในการขยายสาขาที่จังหวัดเชียงใหม่, ชลบุรี, ขอนแก่น, ระยอง และเพชรบุรี คือจะพิจารณาจังหวัดหัวเมืองหลักๆ ที่มีศักยภาพเป็นลำดับแรก และคาดว่าในปี 2549 จะขยายได้อีกประมาณ 5 สาขา ที่จังหวัด อุดรธานี ภูเก็ต หาดใหญ่ พิษณุโลก และลำปาง
บริษัทฯ จะเป็นผู้หาบุคลากรให้กับแฟรนไชซี่ เนื่องจากต้องการรักษามาตรฐานของบุคลากรให้ได้มาตรฐานเดียวกัน ซึ่งครูทางด้านวิทยาศาสตร์นับว่าเป็นปัญหาสำคัญเนื่องจากหายาก และมีค่าตัวที่ค่อนข้างแพง จึงเกิดความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒเพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพและความพร้อมที่จะเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กแนวใหม่
ด้านการแข่งขันของธุรกิจการศึกษาสาขานี้ นิมิตรบอกว่าส่วนใหญ่คู่แข่งมักจะเปิดคอร์สการเรียนระยะสั้นในช่วงฤดูร้อนเพื่อเป็นการสร้างเวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ซึ่งจะเป็นแค่การเสริมทักษะให้กับเด็กเท่านั้นต่างจากของบริษัทฯ ที่จะเปิดคอร์สยาวเต็มรูปแบบ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่เพียงเจ้าเดียว
สนใจธุรกิจติดต่อโทร. 0-2651-0734-5
ศูนย์วิทยาศาสตร์แนวใหม่ |
1.ลงทุนเริ่มต้น 500,000 บาท |
2.สามารถลงทุนด้วยตัวเอง หรือเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทฯ โดยบริษัทฯ จะถือหุ้นไม่เกิน 49% เพื่อให้ผู้เป็นแฟรนไชซี่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ |
3.โลเคชั่นในการเปิดศูนย์ต้องการที่มีผู้ปกครองที่สนใจให้เด็กเข้ามาเรียนวิทยาศาสตร์ |
4.บริษัทฯ จะเป็นผู้หาบุคลากรให้โดยหนึ่งศูนย์ต้องมีครู 4 คน |
5.หนึ่งห้องเรียนต้องมีนักเรียนไม่เกิน 10 คน |
6.พื้นที่ในการเปิดสอนต้องสามารถหมุนเวียนนักเรียนได้ 200 คน |