สมัยนี้หากต้องการดื่มกาแฟสดสักแก้ว คงไม่ใช่เรื่องยากเพราะร้านกาแฟทั้งเล็กและใหญ่ต่างผุดขึ้นกันมากมาย แต่จะมีสักกี่รายที่รู้จักและมีความรู้ในเรื่องกาแฟอย่างแท้จริง ซึ่งคงจะเป็นการดีหากผู้บริโภคได้ดื่มกาแฟจากผู้เชี่ยวชาญและมีใจรักในเรื่องของกาแฟอย่างแท้จริง “กาแฟดีโ อโร่” ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคอกาแฟ ที่ต้องการดื่มกาแฟที่มีความสดใหม่ และคุณภาพเทียบกับกาแฟแบรนด์ยักษ์จากต่างประเทศ
นายธนพล เลิศสังข์แจ่มใส ผู้จัดการทั่วไป กล่าวถึง ร้านกาแฟดีโอโร่ (Caffe’D’Oro) ว่าได้ดำเนินการโดยบริษัท โกลเด้นครีม จำกัด ซึ่งประกอบด้วยนักธุรกิจมืออาชีพของไทยที่ดำเนินธุรกิจกาแฟอย่างครบวงจร ที่จากเดิมเมื่อปี 2534 ทางบริษัทในเครือได้ส่งออกเมล็ดกาแฟพันธุ์อราบิก้าและโรบัสต้า ที่ปลูกในประเทศไทยโดยส่งออกไปยังประเทศแถบอเมริกา,ยุโรป, ออสเตรเลีย, เกาหลี, ญี่ปุ่น และอิตาลี เป็นต้น ต่อมาทางบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) โดยจัดทำ “โครงการปลูกกาแฟพันธุ์อราบิก้าในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดิน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่" ซึ่งได้มีการจัดสรรที่ดินให้แก่เกษตรกรที่ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขา แบ่งที่ดินให้ชาวเขาคนละ 50 ไร่ เพื่อทำไร่กาแฟเพื่อป้อนให้กับทางบริษัทฯ รวมที่ดินประมาณ 4,500 ไร่ สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตร โดยทางบริษัทฯ จะเข้ามาดูแลในการให้ความรู้ เกี่ยวกับการปลูก การดูแลรักษา และการเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นต้น
จากความชำนาญและใจรักในเรื่องของกาแฟ ทำให้เกิดร้านกาแฟ “ดีโอโร่” (D’Oro มาจากภาษาอิตาเลียนแปลว่า "ทอง") ขึ้น โดยเริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2542 เป็นธุรกิจร้านกาแฟคั่วสไตล์อิตาเลียน ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่ว่า “From Fram to Cup” เนื่องจากเมล็ดกาแฟของดิโอโร่จะผ่านกรรมวิธีการคั่วที่สดใหม่ พร้อมชงทันที ซึ่งผลของความสดใหม่ของเมล็ดกาแฟ ทำให้เมื่อชงแล้วจะเกิดเป็นฟองครีมสีทอง แสดงถึงกาแฟคุณภาพที่ไม่ว่าจะเป็นน้ำที่ใช้ชง กระบวนการเก็บรักษาเมล็ดกาแฟอย่างถูกต้อง ทำให้ได้กาแฟที่มีคุณภาพ รวมถึงทางบริษัทฯ ยังได้พัฒนาสายพันธุ์เมล็ดกาแฟขึ้นใหม่โดยใช้ชื่อว่า “Arabica Catimore F7” ที่ได้มีการพัฒนามากกว่า 7 ชั่วอายุคน ซึ่งข้อดีของกาแฟพันธุ์นี้คือ ทนต่อสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย มีความต้านทานโรคสูง และให้ผลผลิตต่อไร่ในปริมาณมาก ส่งผลให้ร้านกาแฟแบรนด์จากต่างประเทศสนใจสั่งนำเข้ากว่า 200 ตัน
สำหรับร้านกาแฟดีโอโร่ซึ่งเปิดมาได้ประมาณ 5 ปี คงจะผ่านสายตาของหลายต่อหลายคนมาแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่เคยลิ้มรสชาติกาแฟดีโอโร่ จะประทับใจเนื่องจากคุณภาพที่คับแก้วและรสชาติที่เทียบได้กับกาแฟแบรนด์นอก รวมถึงเบเกอรี่โฮมเมด ที่จะสดใหม่ทุกวันพร้อมเสิร์ฟให้กับลูกค้า โดยปัจจุบันร้านกาแฟดีโอโร่มีทั้งหมด 58 สาขา ทั้งในกทม.และตามจังหวัดใหญ่ๆ เช่น ในสถานีบริการน้ำมันเชลล์ ทั่วประเทศ ศูนย์การค้า และโรงพยาบาล เป็นต้น โดยตั้งเป้าภายในปีนี้จะเปิดสาขาให้ครบ 65 สาขา ส่วนที่สาขาในซ.ศาลาแดง 1 ถือเป็นสาขาเดียวที่ทางร้านได้จัดมุมจำหน่ายดอกไม้ภายใต้ชื่อ “Flora’D’Cafe” ที่นอกจากจะช่วยสร้างความสดชื่นให้กับลูกค้าแล้ว สไตล์การจัดดอกไม้ของที่นี่จะแตกต่างจากตามท้องตลาดทั่วไปอีกด้วย โดยจัดเป็นสไตล์โมเดิร์น แปลกไม่เหมือนใคร โดยราคาต่ำสุดอยู่ที่ 20 บาท รวมถึงการจัดมุมสินค้าโอทอป ฝีมือชาวเขา โดยทางร้านได้นำมาจัดใส่บรรจุภัณฑ์เอง เพื่อเพิ่มมูลค่าและรายได้ให้กับสินค้าอีกทางหนึ่ง
ส่วนเครื่องดื่มอื่นๆ ที่นอกจากกาแฟแล้วทางร้านยังมีประเภทน้ำผลไม้ปั่น Fruitty Ice ที่ใช้ผลไม้สดจากไร่ รักษาคุณภาพด้วยวิธีการแช่แข็ง ทำให้ได้ผลไม้ปั่นที่เข้มข้น และไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือน้ำเชื่อม หรือเครื่องดื่มในกลุ่ม Blast จะเป็นชา กาแฟ และโกโก้ปั่น ซึ่งราคาเครื่องดื่มดิโอโร่ราคาจะอยู่ระหว่าง 30-45 บาท
สำหรับร้านแฟรนไชส์ทางดีโอโร่ จะไม่เน้นการขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์แต่จะเป็นการลงทุนเองมากกว่า ซึ่งปัจจุบันมีร้านที่เป็นแฟรนไชส์อยู่ 2 สาขา โดยเป็นลูกค้าขาประจำของทางร้าน และมีความตั้งใจในการที่จะเปิดเป็นแฟรนไชส์ ซึ่งการลงทุนราคาประมาณ 1.2 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นค่าตกแต่งร้าน 3-4 แสนบาท อุปกรณ์ภายในร้าน 4-5 แสนบาท และค่าแฟรนไชส์ฟี 3 แสนบาท
ทั้งนี้การทำการตลาดของกาแฟดิโอโร่ที่ผ่านมามีการทำการตลาดต่อสาธารณชนยังน้อยอยู่ แต่จะทุ่มงบไปที่การทำประสัมพันธ์ในชุมชนของแต่ละสาขาที่ตั้งอยู่มากกว่า และการบริการของพนักงานโดยต้องการให้มีการบริการเป็นมาตรฐานสากลมากขึ้น รวมถึงเน้นให้พนักงานเป็นมิตรกับลูกค้าทักทายกับลูกค้าด้วยมิตรภาพ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของการบริการที่กาแฟดีโอโร่เน้นมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม นายธนพลได้มองเทรนด์การเติบโตของธุรกิจกาแฟในประเทศไทยว่า ขณะนี้เรื่องของการดื่มกาแฟกลายเป็นวัฒนธรรมของคนไทยไปแล้ว ซึ่งในอีก 2 ปีข้างหน้าคาดว่าธุรกิจกาแฟยังเติบโตได้อีกแต่ผู้ประกอบการรายเล็กและรายย่อยจะเริ่มทยอยปิดตัวลงไป หลังจากนั้นก็จะเหลือแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่จะต้องแข่งขันกันเพื่อความอยู่รอดในธุรกิจ ทั้งนี้สาเหตุของผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องเริ่มทยอยปิดตัวลงเนื่องจากรสนิยมในการบริโภคกาแฟของคนไทยจะดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดเมื่อได้ลิ้มรสกาแฟจะรู้ว่าเป็นกาแฟที่มีคุณภาพหรือไม่ ซึ่งจะเห็นได้จากในปัจจุบันผู้บริโภคที่ดื่มกาแฟสด จะเลิกดื่มกาแฟสำเร็จรูปเนื่องจากรสชาติจะแตกต่างกันมากรวมถึงความหวานและความอร่อยด้วย
การทำธุรกิจในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรหนทางก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ดังนั้นนักธุรกิจควรที่จะต้องปรับอยู่ตลอดเวลาไม่เฉพาะแต่ธุรกิจร้านกาแฟ แต่ทุกธุรกิจก็ต้องมองหากลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อหลีกหนีคู่แข่ง ซึ่ง “ดีโอโร่” ก็ได้งัดกลยุทธ์มัดใจลูกค้าหลากหลายวิธีผู้ประกอบการรายใดจะเอาไปเป็นแบบอย่างบ้างก็ไม่ว่ากัน