xs
xsm
sm
md
lg

“ ไวน์บ้านต้นหมัน” ไวน์ไทยใส่ใจสุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สืบทอดเรื่องราวครั้งสมัยเมื่อเขายังเป็นเด็ก วัฏจักรของผู้เป็นแม่ที่ไม่เคยหยุดพักจากการตรากตรำทำงานหนัก ยังคงตราตรึงใจเขาอยู่จนถึงปัจจุบัน เพราะความที่แม่มีลูกมาก รายได้จากการทำนา เก็บผักผลไม้ไปขายที่ตลาดยามย่ำรุ่ง ไม่เพียงพอสำหรับมาใช้สอยจุนเจือ ส่งลูกๆ เรียนหนังสือให้จบชั้นสูงสุด ด้วยหวังว่า ลูกๆ ทั้งหลายจะได้ไม่ต้องลำบากลำบนเหมือนกับตนเอง แม้แต่ยามดึกดื่นก็ไม่เคยคิดจะหยุดพัก ทั้งพ่อและแม่ยังขมีขมันช่วยกันเก็บฟืนมาก่อไฟต้มเหล้าขาย หวังเป็นรายได้เสริมให้กับครอบครัวอีกหนทางหนึ่ง

ในสมัยนั้นการทำสุราแช่ หรือสุราหมัก ต้องทำแบบหลบๆ ซ่อนๆ เพราะทางรัฐบาลไม่อนุญาตให้ชาวบ้านผลิตเหล้าเพื่อรับประทานและจำหน่ายกันเอง จะด้วยคุณภาพของเหล้าที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือทางกรมสรรพสามิตเก็บภาษีไม่ได้ แต่กระนั้นในชุมชนหมู่บ้านต้นหมันแทบทุกหลังคาเรือน ต่างมีรายได้เสริมจากการทำเหล้าเถื่อนขายกันแบบลับๆ แทบทั้งสิ้น ก็ด้วยในตอนนั้นการคมนาคมและการสื่อสารยังไม่เจริญ บุคลากรภาครัฐฯ ยังเข้ามาตรวจตราไม่ถึง สุราที่มีอากรแสตมป์ก็ไม่หลากหลายเฉกเช่นปัจจุบัน

เมื่อในวันหนึ่งเทคโนโลยีได้รุดหน้า ถนนตัดผ่านมาสู่หมู่บ้าน กิจกรรมที่เคยสร้างรายได้ให้กับครอบครัว ก็ต้องยุติ เพราะเกรงกลัวความผิดที่จะกลับกลายนำความทุกข์มาสู่ครอบครัวแทน

ตอนนั้นครอบครัวของคุณสุเทพ ใยสำลี จึงจำต้องกระเหม็ดกระแหม่ ใช้สอยเงินเท่าที่จำเป็น แม่ผู้ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรค ต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเก่า เพื่อประทังรายจ่ายให้ครอบครัวได้อยู่รอด

เกือบระยะเวลาร่วม 20 กว่าปีมาแล้ว ที่แม่ของเขาและเพื่อนสมาชิกภายในหมู่บ้านไม่เคยต้มเหล้า หมักสุราจำหน่ายกันอีกเลย จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. 2544 คณะนายกรัฐมนตรีได้จัดประชุมสัญจรขึ้น เมื่อผลการประชุมบนรถไฟเสร็จสิ้นลง ทางรัฐบาลลงมติเห็นชอบอนุญาตให้ชาวบ้านหมักและต้มสุราแช่หรือทำไวน์กันได้อย่างเสรี แต่ต้องเป็นในรูปแบบของกลุ่มเกษตรกร

คุณสุเทพเป็นอีกผู้หนึ่งที่คอยติดตามข่าวสารทางด้านนี้มาโดยตลอด เมื่อทางภาครัฐเปิดไฟเขียวให้ เขาและเพื่อนพ้องสมาชิกภายในชุมชนบ้านต้นหมัน มีความคิดอยากจะรวมตัวกันโดยทันที

"เป็นความตั้งใจของผมและชาวบ้านในชุมชนบ้านต้นหมันมานานแล้วว่า อยากจะรวมกลุ่มผลิตสุราที่ไม่ผิดกฎหมายออกมาจำหน่าย ความที่เห็นแม่และชาวบ้านในถิ่นแถบนี้ต้มเหล้าขายมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะมันเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยเสริมรายได้ให้กับครอบครัว อีกอย่าง ผมก็เรียนจบมาทางด้านสายวิทยาศาสตร์ เอกเคมี และเคยทำงานอยู่ที่โรงงานสุรา แผนกหมักเหล้าโดยเฉพาะเกือบ 15 ปี ซึ่งประสบการณ์โดยตรงของผมนี้ ทำให้มั่นใจคิดจะรวมกลุ่มกับชาวบ้าน จัดตั้งให้เป็นในรูปแบบของสหกรณ์ ทำการผลิตสุราแช่จำหน่าย อย่างเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา"

การจัดตั้งกลุ่มของคุณสุเทพ เริ่มตั้งแต่ไปขออนุญาตจัดตั้งและจดทะเบียนกลุ่มสหกรณ์ใช้ระยะเวลาในการรอประมาณ 6 เดือน กว่าจะได้รับคำตอบรับ เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว จึงนำเอกสารทั้งหมดรวบรวมไปยื่นต่อกรมสรรพสามิต หลังจากนั้นกลับมาเตรียมความพร้อมรอคอยให้บุคลากรของหน่วยงานสรรพสามิตมาตรวจโรงเรือนว่าถูกสุขลักษณะมากน้อยแค่ไหน และเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามกฎกติกา การผลิตสุราแช่หรือไวน์ของหมู่บ้านต้นหมัน จึงได้เริ่มต้นขึ้น

"ปัจจุบันสมาชิกในกลุ่มของเรามีประมาณ 50-60 คนแล้ว เงินทุนเรือนหุ้นอยู่ที่ประมาณ 97,000 บาท การจัดตั้งกลุ่มของเราจะเป็นไปตามระเบียบขั้นตอนของการจัดตั้งกลุ่มสหกรณ์ทุกอย่าง คือจะมีฝ่ายนิติบุคคลประกอบการอยู่ 7 ตำแหน่ง คือมีประธาน, รองประธาน, เหรัญญิก, เลขา, กรรมการร่วมอีก 3 คน และฝ่ายกิจการ จะมีเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์มา คอยตรวจสอบว่าทางกลุ่มของเราบริหารงานเป็นไปตามระเบียบมากน้อยแค่ไหน ซึ่งรวมไปถึงการจัดสรรเงินปันผลให้กับสมาชิกในแต่ละปีด้วย เงินทุนในการผลิตเราจะเก็บเป็นหุ้น หุ้นละ 10 บาท อย่างน้อย 10 หุ้น นั่นก็หมายถึงคนละ 100 บาท เป็นอย่างต่ำ และเสียค่าสมาชิกกลุ่มอีกคนละ 30 บาท"


ระยะเริ่มแรกในการผลิตตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2544 ที่ทางกรมสรรพสามิตอนุญาตให้ทางกลุ่มจัดตั้งประกอบกิจการการทำไวน์ได้ จวบจนถึงต้นปี พ.ศ. 2545 รวมระยะเวลา 6 เดือน ทางกลุ่มสหกรณ์บ้านต้นหมันมีกำไรสุทธิต่อกิจการแล้วประมาณ 15,000 บาท จากตัวเลขตรงนี้เองที่เป็นกำลังใจให้คุณสุเทพและสมาชิกกลุ่มเล็งเห็นว่า ธุรกิจการทำไวน์นี้น่าจะขยายผลเติบโตได้อีกยาวไกล

"กลุ่มของเรายังไม่มีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจนนัก คือนำผลไม้ในท้องถิ่นเท่าที่มี ไม่ว่าจะเป็นมะม่วง, สับปะรด, มะยม, มะขาม อะไรที่นำมาผลิตได้ ก็จะทดลองจับนำมาผลิตแปรรูปเป็นไวน์ให้หมด เพราะทำตามนโยบายของรัฐบาล ที่สนับสนุนให้นำวัตถุดิบในท้องถิ่นมาดัดแปลงนำมาใช้ แต่เมื่อทำออกมาแล้วก็ต้องพบกับอุปสรรคมากมาย อาทิเช่น ขาดแคลนวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ เพราะผลไม้จะออกเป็นฤดูกาล เราไม่สามารถเก็บกักตุนในรูปแบบอื่นได้ เพราะมันจะทำให้เสียรสชาติของไวน์ชนิดนั้นๆ ไป เพราะฉะนั้นเราจึงตัดทอนลงมาให้เหลือเพียงแค่ไวน์กระเจี๊ยบกับไวน์มะขามเท่านั้น"

เพราะความที่กระเจี๊ยบเป็นไม้ดอก สามารถเก็บแห้งได้เป็นปี ก่อนจะมาเป็นรูปแบบผลิตภัณฑ์ ก็จะนำมาต้มและหมัก ซึ่งก็ยังคงทั้งสีสรรและรสชาติเอาไว้ได้อย่างคงเส้นคงวา พอๆ กับการผลิตไวน์มะขาม

"ขั้นตอนในการผลิตไวน์กระเจี๊ยบและไวน์มะขาม จะอยู่ที่ระยะเวลาประมาณ 6-10 เดือน ซึ่งในระยะเวลาในเดือนแรกเราจะทำการหมัก คือจะใส่ดอกกระเจี๊ยบ หรือมะขามลงไปหมักด้วย เพื่อให้เกิดรสฝาด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ เป็นเอกลักษณ์ในการทำไวน์ของทางกลุ่มเรา พอครบระยะเวลาประมาณ 1 เดือนแล้ว เราก็จะทำการถ่ายกากออก แล้วจากนั้นก็จะนำมาบ่มต่ออีกประมาณ 6-8 เดือน เราบ่มต่อเพื่ออะไร ก็เพื่อเป็นวิธีการยุติในการหมัก เมื่อเชื้อจุลินทรีย์ หรือเชื้อยีสต์ไม่มีอาหารกินมันก็จะตาย พอมันตายก็จะเกิดการตกตะกอน หลังจากนั้นเราจึงคัดส่วนใสมาบรรจุเป็นรูปแบบผลิตภัณฑ์"

เคล็ดลับในการผลิตไวน์ของกลุ่มบ้านต้นหมัน คือจะไม่ใช้สารเคมีใดๆ มาปรุงแต่งสี ปรุงแต่งรสชาติ และกลิ่น จะเน้นวิธีการผลิตแบบธรรมชาติมากที่สุด รับรองใครที่ได้ลิ้มชิมรสก็จะติดอกติดใจไปตามกัน

"มาตรฐานแอลกอฮอล์ในการผลิตไวน์จะอยู่ที่ 15 ดีกรี ไวน์ของผมจึงมีความแรงของแอลกอฮอล์อยู่ที่ 10-15 ดีกรีเท่านั้น เพื่อเอาใจผู้บริโภคทุกระดับ โดยเฉพาะคุณสุภาพสตรี ถ้าใครอยากทานรสเข้มก็ทานได้ หรือใครอยากทานรสอ่อนก็สามารถผสมน้ำแข็งลงไปได้อีก แต่ก็ยังคงรสชาติของไวน์นั้นอยู่"


หลายคนยังติดอกติดใจรสชาติไวน์องุ่นจากต่างประเทศ จึงนำมาเป็นบรรทัดฐานตัดสินไวน์กระเจี๊ยบและมะขามของเขา ซึ่งตรงนี้คุณสุเทพบอกว่า

"ไม่อยากให้นำไวน์ผลไม้จากต่างประเทศมาเป็นบรรทัดฐานในการตัดสิน เพราะการนำผลไม้แต่ละชนิดมาแปรรูปก็จะได้รสชาดที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว อีกอย่างขั้นตอนการผลิตก็อาจจะไม่เหมือนกัน การที่ผมผลิตไวน์กระเจี๊ยบจะให้เหมือนกับไวน์องุ่น มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หรือแม้แต่กลุ่มผลิตประเทศเดียวกันก็เถอะ อย่างผมทำไวน์กระเจี๊ยบรสชาติมันก็จะเป็นในแบบเฉพาะของผมจะไม่เหมือนไวน์กระเจี๊ยบในจังหวัดต่างๆ ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมในการบริโภคของแต่ละคนที่จะเป็นผู้ตัดสิน"

"ลูกค้าก็ยังคงเป็นกลุ่มเดิมที่เคยซื้อๆ กันอยู่นั่นก็คือ ชาวบ้านในหมู่บ้านเองก็ดี หรือหมู่บ้านใกล้เคียงก็ดี แต่ลูกค้ากลุ่มนี้จะนิยมสาโทเสียมากกว่า เพราะราคาค่อนข้างจะถูกคือขวดเล็กประมาณขวดละ 20 บาทเท่านั้นเอง และลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มระดับสูงขึ้นมาหน่อย ก็จะนิยมบริโภคไวน์กันเป็นส่วนใหญ่ ตอนนี้ตลาดของเราก็ค่อยขยับขยายเติบโตมากขึ้นเป็นเพราะหน่วยงานทางภาครัฐฯ ให้การสนับสนุนสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ให้มีการแสดงสินค้าในสถานที่ต่างๆ เราก็จะนำสินค้าของเราไปออกบูธด้วย ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่มยอดในการขายให้กับทางกลุ่มของเรา"

นอกจากนี้คุณสุเทพยังเป็นผู้เดินสายเปิดตลาดสายตรงด้วยตนเองอีกด้วย โดยเฉพาะตามปั๊มน้ำมันต่างๆ ที่ให้การสนับสนุนสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ อาทิเช่น ปั๊มน้ำมันบางจาก และปั๊มน้ำมันเอสโซ่

"จะเป็นในรูปแบบฝากวางจำหน่าย และคิดกำไรให้เขา 20% จากยอดขาย เดือนหนึ่งผมจะวิ่งไปเช็คยอดสักครั้ง แต่ผลตอบรับก็เป็นที่น่าพอใจของกลุ่ม ถึงแม้ว่ายอดจำหน่ายของเราไม่สูงลิบลิ่ว ยังค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็ไม่อยากรีบร้อนมากนัก เพราะถ้าเกิดว่าเราล้ม เราก็ล้มไม่เจ็บตัวเท่าไหร่ มีแหล่งเงินทุนหลายที่มายื่นข้อเสนอให้ทางกลุ่มของเรา แต่ผมคิดว่ายังไม่มีความจำเป็นอะไร พวกสมาชิกภายในกลุ่มอยากจะเติบโตด้วยลำแข้งของตนเองมากกว่า"

ด้วยเหตุนี้การที่จะขับเคลื่อนผลักดันผลิตภัณฑ์ของกลุ่มให้โกอินเตอร์ ก็ดูเหมือนจะต้องใช้ระยะเวลามากพอสมควรเลยทีเดียว
"คงจะอีกยาวไกล เพราะสินค้าที่ส่งออกนอกจะต้องได้อย่างน้อย 5 ดาวขึ้นไป ซึ่งทางกลุ่มของเราได้เพียงแค่ 3 ดาวเท่านั้น ขาดเพียงอีกแค่ 2 คะแนนนั้นก็จะได้ 4 ดาว ทางคณะกรรมการเขาจะให้คะแนนทั้งหมด 20 หัวข้อ เกือบจะทุกหัวข้อเราได้ 4-5 คะแนนแทบทั้งนั้นแต่ก็มีบางหัวข้อที่ได้คะแนนค่อนข้างต่ำ อย่างเช่นระยะเวลาการรวมกลุ่ม ผมไม่ทราบหรอกว่า ถ้าระยะเวลาร่วมกลุ่ม 10 ปีขึ้นไป ทางคณะกรรมการจะให้คะแนนเต็ม ก็บอกเขาไปว่ารวมกลุ่มมาประมาณปีกว่า แต่อันที่จริงเรารวมกลุ่มและทำกันมานานแล้ว อีกอย่างในเรื่องมาตรฐานของตัวผลิตภัณฑ์ การที่จะทำสุราออกจำหน่ายได้ จะต้องผ่านการตรวจสอบจากกรมสรรพาสามิตก่อนว่ามีคุณภาพไหม ซึ่งเขาจะตรวจสอบอย่างละเอียดมาก คือขวดใหญ่ก็จะต้องให้ได้มาตรฐานของขวดใหญ่ ขวดเล็กต้องได้มาตรฐานของขวดเล็ก เมื่อตรวจสอบตรงนั้นผ่านแล้ว จึงจะขออนุญาตซื้อแสตมป์ได้ แต่ตอนนั้นตัวสินค้าของเรายังไม่มีตราอะไรมารับรองคุณภาพ คะแนนจึงได้น้อยลงมา"


ประสบการณ์จากการคัดสรรตัวผลิตภัณฑ์สินค้าเมื่อปี'46 จึงเป็นบทเรียนที่ทำให้คุณสุเทพ เร่งมือติดต่อกรมสรรพสามิตให้มาตรวจสอบ พร้อมขอซื้อแสตมป์อย่างถูกต้องถูกระเบียบ ซึ่งอากรแสตมป์จะอยู่ที่ 25% ของราคาขาย แน่นอนจึงส่งผลกระทบให้ราคาจำหน่ายสูงขึ้นจากเดิมเป็นเงาตามตัว แต่กระนั้นก็ไม่ทำให้ยอดจำหน่ายลดลงแต่ประการใด ออร์เดอร์มีสั่งเข้ามาเป็นระยะ โดยเฉพาะในช่วงฤดูเทศกาล จะมีออร์เดอร์สูงเป็นพิเศษ เพราะลูกค้าต่างสั่งซื้อให้เป็นของขวัญของฝากแก่บรรดาญาติสนิทมิตรสหาย
          อีกทั้งได้แรงสนับสนุนจากผู้ว่าราชการจังหวัด พระนครศรีอยุธยา ที่มีนโยบายให้ทุกคนช่วยสนับสนุนและเลือกซื้อสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ในจังหวัดของตนเอง ซึ่งจากแรงผลักตรงนี้ ที่เสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้คุณสุเทพ ใยสำลี และสมาชิกภายในกลุ่มบ้านต้นหมัน ได้มีแรงใจแรงกาย เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนให้ได้มาตรฐานยิ่งๆขึ้นไป ถึงแม้ปริมาณการผลิตอาจจะยังไม่มากพอ แต่เรื่องคุณภาพคุณสุเทพการันตีว่าไม่เป็นสองรองใคร
สถานที่ติดต่อกลุ่มสหกรณ์บ้านต้นหมัน

คุณสุเทพ ใยสำลี (ประธานกลุ่ม) 19/2 หมู่ 7 ต.พระแก้ว อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา โทร. 035-731337, 01-9822889

สรรพคุณไวน์กระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบเป็นสมุนไพรช่วยลดความดันสูง และลดคลอเรสเตอรอลในเส้นโลหิต สามารถขับปัสสาวะในผู้ป่วย ลดอาการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะ ช่วยในการระบาย ทำให้อุจจาระอ่อนตัวลง ลดอาการบวม มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมเอสโตรเจนในเพศหญิงซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสตรีวัยทอง จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า กระเจี๊ยบสามารลดคลอเรสเตอรอลไตรกลีเซอรอลและลดไขมันได้
สรรพคุณไวน์มะขาม
มะขามเป็นสมุนไพรช่วยระบายอ่อนๆ ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ฟอกลือด ฟอกลม เหมาะกับสตรีวัยทอง สตรีมีรอบเดือนทานแล้วช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย แก้อาการท้องผูก ทำให้ขับถ่ายสะดวกขึ้น เหมาะสำหรับบุคคลที่มีความดันต่ำ

กำลังโหลดความคิดเห็น