กรมส่งเสริมการส่งออกชี้ช่องผลักดันสินค้าโอทอปไทยบุกเจาะตลาดญี่ปุ่น แนะผู้ผลิตเรียนรู้ความต้องการของตลาดให้ถ่องแท้ เพราะสินค้าที่ขายดีในที่หนึ่งอีกที่หนึ่งอาจขายได้ไม่ดี ย้ำไทยควรใช้จุดแข็งการผลิตสินค้าที่ใช้ฝีมือ วัฒนธรรม บวกความปราณีตเป็นจุดขาย พร้อมให้ที่มาที่ไปของสินค้าที่ผลิตได้ เชื่อโอทอปไทยจับลูกค้าญี่ปุ่นอยู่หมัดแน่
นับตั้งแต่รัฐบาลได้ผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (โอทอป) ขึ้นมา จนกระทั่งวันนี้ มีสินค้าโอทอปจากทุกภูมิภาคของประเทศผลิตออกสู่ท้องตลาดได้แล้วไม่ต่ำกว่า 37,000 รายการ และในจำนวนนี้ มีสินค้าโอทอปหลายร้อยรายการที่เป็นสินค้าระดับห้าดาวและผ่านการคัดสรรแล้ว ได้ผงาดออกไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ซื้อ และทำให้มูลค่าการขายและการส่งออกขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว
นางอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น กรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า สินค้าโอทอปไทย เริ่มเป็นที่นิยมในตลาดญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก เนื่องจากคนญี่ปุ่นชื่นชอบงานศิลปะและให้คุณค่าแก่สินค้าหัตกรรมสูงมาก ประกอบกับปัจจุบันคนญี่ปุ่นได้หันมาให้ความสนใจต่อสุขภาพ เปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตให้มาใกล้ชิดและเป็นมิตรกับธรรมชาติยิ่งขึ้น ผู้ซื้อญี่ปุ่นจึงหันมาสนใจสินค้าจากเอเซีย รวมทั้งสินค้าจากไทยมากขึ้น
ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดสภาวะ “Asian Boom” ในตลาดญี่ปุ่น โดยคนญี่ปุ่นหันมาคลั่งไคล้สินค้าจากเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นงานหัตถกรรมที่ผลิตขึ้นจากการผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ตกทอดกันมา ซึ่งชาวญี่ปุ่นให้คุณค่าสูง และสินค้าที่ใช้วัสดุธรรมชาติที่มีในท้องถิ่น จึงให้ความรู้สึกที่กลมกลืนกับธรรมชาติสอดคล้องกับกระแสสังคมในช่วงนั้น เมื่อสินค้าโอทอปของไทยเข้าไปทำตลาดในญี่ปุ่น จึงได้รับการต้อนรับอย่างรวดเร็ว เพราะมีความหลากหลายทั้งชนิดของสินค้า และวัตถุดิบที่ใช้
ยิ่งไปกว่านั้น ความใกล้ชิดทางการค้าและวัฒนธรรม รวมทั้งการมีโครงการความร่วมมือด้านการออกแบบ และพัฒนาสินค้าร่วมกับญี่ปุ่นมานาน จึงเข้าใจความคิดและความต้องการของผู้ซื้อ อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นนำเข้าสินค้าหัตถกรรมจากหลากหลายประเทศ ซึ่งแต่ละแห่งต่างก็มีจุดเด่น-จุดแข็งของตน สินค้าหัตถกรรมของไทยที่มีการออกแบบที่ดี คุณภาพมาตรฐานจึงจะสามารถแข่งขันและช่วงชิงตลาดได้
นางอัมพวันกล่าวว่า ญี่ปุ่นเป็นตลาดของผู้ซื้อที่มีความรู้สึกสัมผัสของแฟชั่นสูง เบื่อเร็ว ชอบแสวงหาของใหม่ๆ โดยพื้นฐานนิยมชมชอบสินค้าจากตะวันตกมากกว่าเอเซียด้วยกัน นับแต่กลางปี 2546 เมื่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มภาพการพื้นตัว กระแสความสนใจสินค้าเอเซียจึงลดถอยลงไปมาก มีแนวโน้มหันกลับไปหาสินค้าคุณภาพสูงและสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังอีกครั้ง ดังนั้น กลยุทธุ์การรักษาและขยายตลาดสินค้าโอทอปอาจจะต้องเริ่มจากการวิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อนของสินค้าในสายตาผู้ซื้อญี่ปุ่นให้ได้
สำหรับจุดแข็งของสินค้าโอทอปไทยที่ผู้ผลิตควรจะรักษาไว้ ก็คือ ความละเอียดอ่อนและปราณีตของงานฝีมือ ตลอดจนเทคนิกการผลิตที่ยังรักษาความดั่งเดิมของสินค้าไทย ความหลากหลายของวัตถุดิบที่มาใช้ผลิต เช่น งานจักสานจาก ไม้ไผ่ ผักตบชวา ลิเภา เส้นใยเชือกกล้วย การพัฒนาที่รวดเร็วและมีการสร้างสรรที่แปลกใหม่ ทั้งการดีไซด์ การนำวัสดุธรรมชาติ ชนิดใหม่ๆ มาใช้ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน โดยสินค้าโอทอปกลุ่มที่ได้รับความนิยมสูง เช่น ผลิตภัณฑ์ไหมและฝ้ายทอมือ ตระกร้าสานและผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่ ผลิตภัณฑ์ไม้ เซรามิก เครื่องประดับเงิน และผลิตภัณฑ์กระดาษ

ส่วนจุดอ่อนที่จำเป็นจะต้องเร่งแก้ไข ได้แก่ สินค้าหลายรายการ ยังมีการออกแบบที่ไม่สอดคล้องกับลักษณะการนำไปใช้งานได้จริง สีจัดและเข้มเกินไป ขาดความคงทน ขาดข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุดิบและคุณภาพสินค้าที่จำเป็นต่อการเข้ารับตรวจสอบคุณภาพ ผู้ซื้อมีความกังวลในการสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิตโดยตรง ในเรื่อง กำลังการผลิต การควบคุมมาตรฐาน การรักษาเวลาส่งมอบ การตั้งราคาที่อยู่บนพื้นฐานของต้นทุน และความสามารถในการติดต่อสื่อสารที่ทำให้เข้าใจตรงกัน
จากจุดอ่อนที่มีอยู่ นางอัมพวันให้ข้อเสนอแนะว่า ผู้ผลิตที่จะประสบความสำเร็จได้ ต้องเรียนรู้ ศึกษาข้อมูลและเข้าใจความต้องการของตลาดอย่างถ่องแท้ วิถีการดำรงชีวิตที่ต่างกันทำให้สินค้าที่ขายดีในตลาดหนึ่ง อาจไม่เป็นที่สนใจในอีกตลาดหนึ่ง ดังนั้น ต้องผลิตสินค้าที่ตลาดต้องการ ไม่ใช่ผลิตสินค้าที่ตนเองเชี่ยวชำนาญเท่านั้น ต้องนำจุดเด่นและความชำนาญมาเป็นจุดขาย เช่น ความปราณีตและงานฝีมือ วัตถุดิบที่มีเฉพาะในไทย นำมาผสมผสานกับการออกแบบที่เป็นสากล เข้ากับวิถีชีวิตปัจจุบัน ผู้ซื้อในทุกตลาดให้คุณค่าต่องานฝีมือ แต่จะจ่ายเงินซื้อ เมื่อมีการออกแบบดีและนำไปใช้งานได้เท่านั้น โดยไม่สนใจว่าจะผลิตจากที่ใด
นอกจากนี้ ควรจะมีการให้ข้อมูลที่มา ที่ไปของสินค้า นอกจากจะเพิ่มมูลค่า ยังเป็นการสร้างจุดขายที่ได้ผลสูง เพราะผู้ซื้อมีแนวโน้มซื้อจากประวัติความเป็นมา และภูมิหลังที่ติดไปกับสินค้า พร้อมกับให้ข้อมูลวิธีเก็บรักษาและการใช้ประโยชน์ แม้ว่าจะผลิตและจำหน่ายสินค้าที่มีราคาขายต่อหน่วยไม่สูงก็ไม่ควรละเลยจุดขายนี้ ขณะเดียวกัน ต้องสร้างความมั่นใจแก่ผู้ซื้อว่ามีศักยภาพเพียงพอและคุ้มที่เขาจะไปทำตลาดให้ ทั้งด้านการควบคุมคุณภาพ ตั้งราคาที่เหมาะสม ส่งมอบตรงเวลา และพัฒนาสินค้าใหม่ๆ อยู่เสมอ
ส่วนในด้านการนำเสนอสินค้า อาจพิจารณา 2 แนวทาง ด้วยการพัฒนารูปแบบ สี วัสดุ และประโยชน์ใช้สอยใหม่ๆ หรือการนำเสนอสินค้าด้วยการสร้างเทรนด์ Lifestyle และ Concept ใหม่ๆ ให้เป็นทางเลือกของผู้ซื้อ การนำสินค้าเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติขนาดใหญ่ในตลาดเป้าหมายยังเป็นวิธีที่ได้ผล แต่ควรเน้นการนำเสนอด้วยการสร้าง Concept และ Lifestyle ใหม่ให้มากขึ้น
เชื่อว่าผู้ผลิตสินค้าโอทอปของไทยที่มุ่งหวังจะผลักดันให้สินค้าโอทอปของไทยได้รับความนิยมในตลาดญี่ปุ่น หากได้ปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้แล้ว โอกาสที่สินค้าโอทอปของไทยจะยิ่งได้รับความนิยมจะมีมากขึ้นอย่างแน่นอน
นับตั้งแต่รัฐบาลได้ผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (โอทอป) ขึ้นมา จนกระทั่งวันนี้ มีสินค้าโอทอปจากทุกภูมิภาคของประเทศผลิตออกสู่ท้องตลาดได้แล้วไม่ต่ำกว่า 37,000 รายการ และในจำนวนนี้ มีสินค้าโอทอปหลายร้อยรายการที่เป็นสินค้าระดับห้าดาวและผ่านการคัดสรรแล้ว ได้ผงาดออกไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ซื้อ และทำให้มูลค่าการขายและการส่งออกขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว
นางอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น กรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า สินค้าโอทอปไทย เริ่มเป็นที่นิยมในตลาดญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก เนื่องจากคนญี่ปุ่นชื่นชอบงานศิลปะและให้คุณค่าแก่สินค้าหัตกรรมสูงมาก ประกอบกับปัจจุบันคนญี่ปุ่นได้หันมาให้ความสนใจต่อสุขภาพ เปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตให้มาใกล้ชิดและเป็นมิตรกับธรรมชาติยิ่งขึ้น ผู้ซื้อญี่ปุ่นจึงหันมาสนใจสินค้าจากเอเซีย รวมทั้งสินค้าจากไทยมากขึ้น
ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดสภาวะ “Asian Boom” ในตลาดญี่ปุ่น โดยคนญี่ปุ่นหันมาคลั่งไคล้สินค้าจากเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นงานหัตถกรรมที่ผลิตขึ้นจากการผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ตกทอดกันมา ซึ่งชาวญี่ปุ่นให้คุณค่าสูง และสินค้าที่ใช้วัสดุธรรมชาติที่มีในท้องถิ่น จึงให้ความรู้สึกที่กลมกลืนกับธรรมชาติสอดคล้องกับกระแสสังคมในช่วงนั้น เมื่อสินค้าโอทอปของไทยเข้าไปทำตลาดในญี่ปุ่น จึงได้รับการต้อนรับอย่างรวดเร็ว เพราะมีความหลากหลายทั้งชนิดของสินค้า และวัตถุดิบที่ใช้
ยิ่งไปกว่านั้น ความใกล้ชิดทางการค้าและวัฒนธรรม รวมทั้งการมีโครงการความร่วมมือด้านการออกแบบ และพัฒนาสินค้าร่วมกับญี่ปุ่นมานาน จึงเข้าใจความคิดและความต้องการของผู้ซื้อ อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นนำเข้าสินค้าหัตถกรรมจากหลากหลายประเทศ ซึ่งแต่ละแห่งต่างก็มีจุดเด่น-จุดแข็งของตน สินค้าหัตถกรรมของไทยที่มีการออกแบบที่ดี คุณภาพมาตรฐานจึงจะสามารถแข่งขันและช่วงชิงตลาดได้
นางอัมพวันกล่าวว่า ญี่ปุ่นเป็นตลาดของผู้ซื้อที่มีความรู้สึกสัมผัสของแฟชั่นสูง เบื่อเร็ว ชอบแสวงหาของใหม่ๆ โดยพื้นฐานนิยมชมชอบสินค้าจากตะวันตกมากกว่าเอเซียด้วยกัน นับแต่กลางปี 2546 เมื่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มภาพการพื้นตัว กระแสความสนใจสินค้าเอเซียจึงลดถอยลงไปมาก มีแนวโน้มหันกลับไปหาสินค้าคุณภาพสูงและสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังอีกครั้ง ดังนั้น กลยุทธุ์การรักษาและขยายตลาดสินค้าโอทอปอาจจะต้องเริ่มจากการวิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อนของสินค้าในสายตาผู้ซื้อญี่ปุ่นให้ได้
สำหรับจุดแข็งของสินค้าโอทอปไทยที่ผู้ผลิตควรจะรักษาไว้ ก็คือ ความละเอียดอ่อนและปราณีตของงานฝีมือ ตลอดจนเทคนิกการผลิตที่ยังรักษาความดั่งเดิมของสินค้าไทย ความหลากหลายของวัตถุดิบที่มาใช้ผลิต เช่น งานจักสานจาก ไม้ไผ่ ผักตบชวา ลิเภา เส้นใยเชือกกล้วย การพัฒนาที่รวดเร็วและมีการสร้างสรรที่แปลกใหม่ ทั้งการดีไซด์ การนำวัสดุธรรมชาติ ชนิดใหม่ๆ มาใช้ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน โดยสินค้าโอทอปกลุ่มที่ได้รับความนิยมสูง เช่น ผลิตภัณฑ์ไหมและฝ้ายทอมือ ตระกร้าสานและผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่ ผลิตภัณฑ์ไม้ เซรามิก เครื่องประดับเงิน และผลิตภัณฑ์กระดาษ
ส่วนจุดอ่อนที่จำเป็นจะต้องเร่งแก้ไข ได้แก่ สินค้าหลายรายการ ยังมีการออกแบบที่ไม่สอดคล้องกับลักษณะการนำไปใช้งานได้จริง สีจัดและเข้มเกินไป ขาดความคงทน ขาดข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุดิบและคุณภาพสินค้าที่จำเป็นต่อการเข้ารับตรวจสอบคุณภาพ ผู้ซื้อมีความกังวลในการสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิตโดยตรง ในเรื่อง กำลังการผลิต การควบคุมมาตรฐาน การรักษาเวลาส่งมอบ การตั้งราคาที่อยู่บนพื้นฐานของต้นทุน และความสามารถในการติดต่อสื่อสารที่ทำให้เข้าใจตรงกัน
จากจุดอ่อนที่มีอยู่ นางอัมพวันให้ข้อเสนอแนะว่า ผู้ผลิตที่จะประสบความสำเร็จได้ ต้องเรียนรู้ ศึกษาข้อมูลและเข้าใจความต้องการของตลาดอย่างถ่องแท้ วิถีการดำรงชีวิตที่ต่างกันทำให้สินค้าที่ขายดีในตลาดหนึ่ง อาจไม่เป็นที่สนใจในอีกตลาดหนึ่ง ดังนั้น ต้องผลิตสินค้าที่ตลาดต้องการ ไม่ใช่ผลิตสินค้าที่ตนเองเชี่ยวชำนาญเท่านั้น ต้องนำจุดเด่นและความชำนาญมาเป็นจุดขาย เช่น ความปราณีตและงานฝีมือ วัตถุดิบที่มีเฉพาะในไทย นำมาผสมผสานกับการออกแบบที่เป็นสากล เข้ากับวิถีชีวิตปัจจุบัน ผู้ซื้อในทุกตลาดให้คุณค่าต่องานฝีมือ แต่จะจ่ายเงินซื้อ เมื่อมีการออกแบบดีและนำไปใช้งานได้เท่านั้น โดยไม่สนใจว่าจะผลิตจากที่ใด
นอกจากนี้ ควรจะมีการให้ข้อมูลที่มา ที่ไปของสินค้า นอกจากจะเพิ่มมูลค่า ยังเป็นการสร้างจุดขายที่ได้ผลสูง เพราะผู้ซื้อมีแนวโน้มซื้อจากประวัติความเป็นมา และภูมิหลังที่ติดไปกับสินค้า พร้อมกับให้ข้อมูลวิธีเก็บรักษาและการใช้ประโยชน์ แม้ว่าจะผลิตและจำหน่ายสินค้าที่มีราคาขายต่อหน่วยไม่สูงก็ไม่ควรละเลยจุดขายนี้ ขณะเดียวกัน ต้องสร้างความมั่นใจแก่ผู้ซื้อว่ามีศักยภาพเพียงพอและคุ้มที่เขาจะไปทำตลาดให้ ทั้งด้านการควบคุมคุณภาพ ตั้งราคาที่เหมาะสม ส่งมอบตรงเวลา และพัฒนาสินค้าใหม่ๆ อยู่เสมอ
ส่วนในด้านการนำเสนอสินค้า อาจพิจารณา 2 แนวทาง ด้วยการพัฒนารูปแบบ สี วัสดุ และประโยชน์ใช้สอยใหม่ๆ หรือการนำเสนอสินค้าด้วยการสร้างเทรนด์ Lifestyle และ Concept ใหม่ๆ ให้เป็นทางเลือกของผู้ซื้อ การนำสินค้าเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติขนาดใหญ่ในตลาดเป้าหมายยังเป็นวิธีที่ได้ผล แต่ควรเน้นการนำเสนอด้วยการสร้าง Concept และ Lifestyle ใหม่ให้มากขึ้น
เชื่อว่าผู้ผลิตสินค้าโอทอปของไทยที่มุ่งหวังจะผลักดันให้สินค้าโอทอปของไทยได้รับความนิยมในตลาดญี่ปุ่น หากได้ปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้แล้ว โอกาสที่สินค้าโอทอปของไทยจะยิ่งได้รับความนิยมจะมีมากขึ้นอย่างแน่นอน