ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เหล้าขาวของชาวบ้าน มักถูกประเมินค่าเป็นสินค้าเกรดต่ำ เนื่องจากการผลิตไม่ได้มาตรฐาน ทำให้คุณภาพและรสชาติไม่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค รวมมึงขาดการตลาดสนับสนุน ทั้งที่ในความเป็นจริง ประเทศไทยมีข้าวชั้นหนึ่งเป็นวัสดุดิบพร้อมสำหรับการผลิตเหล้าชั้นดีอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ หลายหน่วยงานภาครัฐ ร่วมกันยื่นมือเข้ามาพัฒนาเหล้าขาวของไทยแบบครบวงจร ภายใต้ “โครงการสุราหอม” เพื่อผลิตเหล้าขาวคุณภาพเยี่ยม ในนามประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ “สีเวย” ตั้งเป้าขายทั่วโลก สร้างชื่อเทียบขั้น เตกีร่า , วอดก้า อาศัยจังหวัดแพร่เป็นฐานผลิตนำร่อง
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ ผู้ผลักดันโครงการดังกล่าว เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลได้ เปิดเสรีค้าสุรา ชาวบ้านกลุ่มต่างๆ แห่ทำสุรากลั่นทั้งประเทศ แต่ผลคือ จำหน่ายไม่ออก เนื่องจากสินค้าไม่มีคุณภาพ
เมื่อดูการผลิตพบปัญหาว่า การหมักสุราด้วยแป้งของชาวบ้านไม่สะอาดเพียงพอ ทำให้ติดเชื้อแบคทีเรีย รสชาติสุราหมักจึงเปรี้ยว เมื่อนำไปกลั่นสุราคุณภาพจะไม่นิ่ง อีกทั้ง การกลั่นด้วยกระทะของชาวบ้าน อุณหภูมิจึงไม่เหมาะสม ทำให้เกิดสารฟูเซลออยล์ (Fusel Oil) และแฮงก์โอเวอร์ (Hangover) ติดมาด้วย เมื่อดื่มแล้ว ทำให้ปวดศีรษะ จึงไม่ได้รับการยอมรับของผู้บริโภค
นายวรวัจน์ เปิดเผยต่อว่า เมื่อเห็นปัญหานี้ จึงปรึกษากับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ซึ่งมีความรู้ด้านนี้สูง อีกทั้งมีเทคโนโลยีเครื่องกลั่นทันสมัย ทำให้เกิดการจับมือกัน โดยให้ วว. เข้ามาดูแลระบบการผลิต และรับรองคุณภาพสินค้า รวมทั้ง ถ่ายทอดเทคโนโลยีชีวภาพในการปรับปรุงเชื้อรา และเชื้อยีสต์บริสุทธิ์ เพื่อเพิ่มคุณภาพสุรา ใช้ชื่อโครงการว่า “สุราหอม” โดยใช้ จ. แพร่ เป็นฐานผลิตนำร่อง เพราะเป็นจังหวัดที่ชาวบ้านผลิตสินค้านี้มาก อีกทั้ง และเป็นพื้นที่ซึ่งตนสามารถติดต่อประสานงานกับชาวบ้านได้สะดวก
ทั้งนี้ สุราในโครงการดังกล่าว ใช้ข้าวเป็นวัสดุดิบในการผลิต ทำให้สุราที่ได้มีความหอมเป็นพิเศษ และเนื่องจากประเทศไทย เป็นผู้นำด้านข้าว จึงเป็นข้อได้เปรียบที่จะพัฒนาให้สุราชนิดนี้ สามารถส่งขายในตลาดต่างประเทศได้
“เหล้าที่ทำออกมา เมื่อนำไปเทียบกับ ‘วอดก้า’ หรือ ‘เตกีล่า’ มันเหนือกว่ากันเยอะ เพราะพวกนั้นจะมีกลิ่นเหมือนแอลกอฮอล์ รสชาติจืดๆ แต่ตัวนี้มีกลิ่นหอมติดมาด้วย ในต่างประเทศ ข้าวราคาแพงมาก เขาไม่มีโอกาสมาทำอย่างเราได้ ผลไม้ก็ไม่มี ดังนั้น เราก็จะผลักดันสุราขาวนี้ ออกสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อปรุงแต่งเป็นวิสกี้ หรือคอกเทล ผมคิดว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นของการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เข้าสู่ความต้องการของตลาดโลก”
สำหรับการดำเนินโครงการ เริ่มเมื่อ 4 เดือนก่อนหน้านี้ มีขั้นตอนตั้งแต่ วว. ลงไปอบรมความรู้การหมัก และแนะนำการใช้เครื่องกลั่นฯ ให้กลุ่มชาวบ้านผู้ผลิตสุรา จ.แพร่ ซึ่งนับถึงวันนี้ มีกลุ่มชุมชนเข้าโครงการมากกว่าสิบกลุ่มแล้ว หลังจากนั้น จะสนับสนุนให้กลุ่มชุมชนผลิตสุราถูกต้องตามมาตรฐาน โดยมีธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สนับสนุนเงินลงทุนทั้งโครงการ อาทิ ค่าเครื่องกลั่นฯ ประมาณ 150,000 บาท เป็นต้น
ส่วนต่อมา ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนของสินค้าชุมชนมาตลอด นั่นคือ ระบบการตลาด ดังนั้น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) มีบทบาท ในการเชื่อมโยงโครงการสุราหอม เข้าสู่การระบบการตลาด ด้วยการจัดระบบบริหารจัดการ ทำเครือข่าย อีกทั้งสร้างแบรนด์ร่วมกันในนามประเทศไทยว่า “สีเวย” ตั้งเป้าส่งออกต่างประเทศในลูกค้าระดับสูงเป็นหลัก โดยเฉพาะจีน เกาหลีใต้ และรัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีอากาศหนาว
“สินค้าที่ขายได้มันอยู่ที่ความเชื่อถือ โดยเฉพาะสุรา ถ้าชาวบ้านทำ แล้วจำหน่ายเอง จุดอ่อนมันเยอะ ทำมาดีอย่างไร คนก็ไม่เชื่อถือ ผมเชื่อว่า จากประสบการณ์ที่เขามี จนถึงวันนี้ เขาเข้าใจแล้วว่า ถ้าต้องการราคาที่สูงขึ้น เขาต้องมาใช้แบรนด์นี้ และไม่มีความจำเป็นอะไรที่เขาต้องไปใช้แบรนด์อื่น ๆ เพราะรายได้ ที่เขาได้รับคือ เต็มๆ ไม่มีการหักใดๆ ทั้งสิ้น”
นายวรวัจน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันส่วนแบ่งการตลาดของสุราไทยในตลาดโลก เกือบจะไม่มีเลย เนื่องจากเดิมกฎหมายไทยปิดกั้นการผลิตสุราของชาวบ้านไว้จนหมด ทำให้การพัฒนาไม่เกิดขึ้น ถ้าสุราสีเวยสามารถขายได้ทั่วโลก โดยมีหน่วยงานภาครัฐช่วยดูแล ผลประโยชน์จะตกแก่กลุ่มชุมชน และประเทศไทยมหาศาล ผลิตเท่าไรก็ไม่มีทางเพียงพอต่อความต้องการของตลาดโลก
“เราไปหลงคิดว่า สุราของต่างประเทศดี เพราะกฎหมายของเราไปปิดกั้นผู้ประกอบการนานเกินไป เมื่อตลาดตรงนี้เปิด และภาครัฐเข้ามาดูแล สุราไทยแข่งกับของต่างประเทศได้สบายๆ ผมถามว่าทำไม ข้าวไทยถึงเป็นผู้นำ ผลไม้ไทยเราเป็นผู้นำ ด้านเทคโนฯ เราก็ไม่ได้ด้อยกว่าใคร ด้านภูมิอากาศเขาก็สู้เราไม่ได้ แล้วสินค้าที่ทำมาจากวัตถุดิบเหล่านี้ จะเป็นผู้นำบ้างไม่ได้หรือ”
ส่วนตลาดในประเทศนั้น เน้นที่เข้าไปยังโรงแรม เพื่อผสมเครื่องดื่มคอกเทล เนื่องจากโรงแรมต่างๆ เห็นตรงกันว่า ถ้าสุราสีเวย เป็นที่ยอมรับระดับสากล ย่อมช่วยลดต้นทุน เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ในประเทศ ทั้งนี้ ราคาจำหน่ายของสุราสีเวย ยังไม่ได้ระบุแน่นอน แต่ต้องต่ำกว่าสุราต่างประเทศแน่นอน โดยจะมีการเปิดตัวโครงการ ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2547 ที่จะถึงนี้ ณ จังหวัดแพร่
ด้านเงินลงทุนในโครงการนี้ เป็นความร่วมมือของทุกฝ่าย จึงใช้งบประมาณไปน้อยมาก เนื่องจากขั้นตอนดำเนินงานต่างๆ ล้วนใช้งบประมาณที่แต่ละหน่วยงานต้องใช้อยู่แล้ว เช่น งบวิจัย อบรม และประชาสัมพันธ์ ล้วนเป็นส่วนที่หน่วยงานผู้รับผิดชอบต้องใช้งบเหล่านี้เป็นประจำอยู่แล้ว โครงการนี้จึงเป็นการบูรณาการโครงการที่มีอยู่แล้วทั้งหมด มาจัดเรียงระบบใหม่เท่านั้น ส่วนที่เกินมาจึงมีมูลค่าไม่กี่แสนบาทเท่านั้น
ส.ส. จังหวัดแพร่ กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่า โครงการนี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค ช่วยแก้ไขปัญหาข้าวล้นตลาด อีกทั้ง ต่อยอดการปรุงแต่งกลิ่นสุรา เพื่อผลิตวิสกี้เป็นการส่งออก นอกจากนั้น ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพราะถ้าสุราสีเวยเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว จะมีการซื้อเป็นของฝาก ซึ่งสุราสีเวย จัดทำบรรจุภัณฑ์เป็นชุดคอลเลกชั่น ของแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ นอกจาก จ. แพร่ แล้ว จะมีการขยายเครือข่ายโครงการนี้ไปยังจังหวัดอื่นๆ ต่อไป โดยกลุ่มชุมชนผู้ผลิตสุรารายใดสนใจเข้าโครงการนี้ ติดต่อมาได้ที่ สสว. หลังจากนั้น มีการลงไปดูที่แหล่งผลิต เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการต่อไป และในอนาคตจะพัฒนาสินค้าชนิดอื่นๆ ด้วย เช่น อาหารแปรรูป โดยใช้แนวคิดเดียวกันนี้
“สีเวย” แบรนด์นี้มีที่มา ...
ชื่อแบรนด์ “สีเวย” มาจากชื่อนางในวรรณกรรมพื้นบ้านจากฝาผนัง วัดเวียงต้า อ.ลอง จ.แพร่ ซึ่งได้รับการยกย่องจากนักท่องเที่ยวว่ามีความสวยงาม อ่อนช้อย เป็น “โมนาลิซ่า” ของเอเชีย นางสีเวย จึงเป็นภาพที่มีองค์ประกอบของความเป็นตัวแทนชาวล้านนา และชาวเอเชีย การนำมาตั้งเป็นชื่อสุรา เพื่อสื่อความหมายเป็นตัวแทนของชาวล้านนา และชาวเอเชีย ดินแดนที่มีความสวยงาม และอุดมสมบูรณ์