รู้หรือไม่ว่า ทุก 10 วินาที มีคนตายจากแอลกอฮอล์ 1 คน และผลกระทบจากแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุมากกว่า 1 ใน 10 ของการเสียชีวิตในไทย
โดยประเทศไทยกำลังเผชิญภาวะวิกฤตจากการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคตับ และโรคมะเร็งหลายชนิด ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ
ทั้งนี้แนวโน้มการดื่มโดยเฉพาะในวัยรุ่นหญิงเพิ่มขึ้น และผู้ป่วยโรคไม่ติต่อเรื้อรังจำนวนมากยังดื่มโดยไม่รู้ตัวว่าป่วย อีกทั้งในปัจจุบันผู้หญิงและเยาวชนยังกลายเป็นเป้าหมายการตลาดใหม่ของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้เอง ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ร่วมกับ สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อแห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงได้จัดเวทีสาธารณะ “แอลกอฮอล์ : ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย” ทั้งนี้เพื่ออยากให้ทุกคนได้ตระหนักถึงพิษภัยของแอลกอฮอล์กับโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอย่าง NCDs และร่วมกันหาทางออกแบบบูรณาการกับทุกภาคส่วน เพื่อปกป้องสุขภาพคนไทยอย่างยั่งยืน
ไทยเผชิญวิกฤต NCDs แอลกอฮอล์ตัวเร่งใหญ่ ปีเดียวเศรษฐกิจเสียหาย 1.65 แสนล้าน
ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้กล่าวเปิดเวทีสาธารณะ “แอลกอฮอล์ ตัวเร่งโรค NCDs และทางออกเพื่อปกป้องสุขภาพคนไทย ว่า เวทีนี้เป็นเวทีกลางสื่อสารความรู้เรื่องแอลกอฮอล์ที่ส่งผลต่อการเจ็บป่วยด้วยโรค NCDs โดยแอลกอฮอล์ถือเป็น 1 ในปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง NCDs อาทิ โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมถึงปัญหาสุขภาพจิต
โดยนอกจากแอลกอฮอล์แล้ว NCDs ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มลพิษทางอากาศ ยาสูบ อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ขาดกิจกรรมทางกาย ที่เป็นสาเหตุการตาย 75% ของคนไทย
“โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ถือเป็นปัญหาระดับโลก รวมถึงเป็นปัญหาของไทยด้วย โดยเราสูญเสียทางเศรษฐกิจ เฉพาะปี พ.ศ. 2564 ไทยสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 165,450 ล้านบาท และเกือบ 80% ของคนไทย เคยได้รับผลกระทบจากการดื่มของผู้อื่น ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และครอบครัว”
ผลสำรวจสุขภาพครั้งที่ 7 ชี้สัญญาณอันตราย! พฤติกรรมดื่มคนไทย เสี่ยง NCDs พุ่งไม่หยุด
พบผู้ป่วยไม่รู้ตัว! เป็นเบาหวาน–ความดัน แต่ยังดื่มแอลกอฮอล์
รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้เปิดเผยข้อมูลผลสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 ปี 2567-2568 ดำเนินการโดยคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยความร่วมมือจากเครือข่ายมหาวิทยาลัยในภูมิภาคต่าง ๆ ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข มีวัตถุประสงค์หลักของการสำรวจฯ คือ แสดงความชุกของโรคและปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพที่สำคัญในระดับประเทศ การกระจายตามเพศ กลุ่มอายุ ภาค และเขตการปกครอง พบว่า คนไทยอายุ 15 ปี ขึ้นไป ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา จำนวน 17.1 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ ดื่มอย่างหนักหรือดื่มครั้งเดียวในปริมาณมาก ๆ 7.7 ล้านคน คิดเป็น 45% อีกทั้งผลสำรวจยังพบว่า 1 ใน 4 ของคนดื่มแอลกอฮอล์ดื่มในระดับเสี่ยงขึ้นไป มีการดื่มแบบเสี่ยง 5.3 ล้านคน ดื่มแบบอันตราย 6.6 แสนคน และดื่มแบบติด 5 แสนคน
ส่วนอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยในทุกกลุ่มอายุ แต่เป็นที่น่าสังเกตคือ แนวโน้มการดื่มในกลุ่มวัยรุ่นมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันระหว่างวัยรุ่นชายและหญิง ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มวัยผู้ใหญ่หรือสูงอายุที่พบว่า เพศชายมักจะมีอัตราการดื่มสูงกว่าเพศหญิง ความแตกต่างของความชุกของการดื่มระหว่างชายและหญิงมีแนวโน้มแคบลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งใกล้เคียงกับสถานการณ์ในประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งความเชื่อ หรือการมองว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งช่วยในการเข้าสังคม หรือความเท่าเทียม
“ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ยังมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสัดส่วนที่สูง และคนที่ยังดื่มส่วนมากไม่รู้ตัวว่าป่วยเป็นโรคเรื้อรังแล้ว เช่น 1 ใน 5 ของคนไทยที่เป็นเบาหวาน 1.4 ล้านคน ยังดื่มสุรา และ 5.9 แสนคน ยังไม่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวาน และมีผู้ป่วยความดันโลหิตสูง จำนวน 4.8 ล้านคน ยังดื่มสุรา 3.1 ล้านคน และยังไม่รู้ตัวว่าเป็นความดันโลหิตสูง”
“นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่ดื่มแอลกอฮอล์มีระดับค่าเอนไซม์ตับที่ผิดปกติสูงกว่าคนที่ไม่ดื่ม โดยเฉลี่ย 3-5 เท่า และมีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ที่สูงขึ้น โดยเฉลี่ย 1-2 เท่า ยกตัวอย่าง ชายไทยคนหนึ่ง อายุ 38 ปี มีภาวะน้ำหนักเกิน สูบบุหรี่ และดื่มสุรา โดยไม่มีประวัติครอบครัวเป็น NCDs พบว่า ไขมันคลอเลสเตอรอลสูงถึง 820 (โดยค่าปกติไม่เกิน 200) ไขมันไตรกรีเซอไรด์ 3,244 (ค่าปกติไม่เกิน 150) เอนไซม์ตับ ggt 3,352 (ค่าปกติไม่เกิน 65) ตรวจพบเบาหวานและความดันโลหิตสูง โดยไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งจะเห็นได้ว่า NCDs ไม่ใช่โรคของผู้สูงอายุอีกต่อไป แต่คนหนุ่มสาวก็เป็นได้”
อันตรายใกล้ตัว! ทุก 10 วินาทีมีคนตายจากน้ำเมา 1 คน
90% คนไทยไม่รู้ว่าเหล้าเป็นสารก่อมะเร็ง
นอกจากนี้ ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ยังได้ให้ข้อมูลสนับสนุนอีกว่า มีผลสำรวจพบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป สูบบุหรี่ กว่า 11 ล้านคน ดื่มสุรา 17 ล้านคน อ้วน 27 ล้านคน และ มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอถึง 25 ล้านคน ที่น่าตกใจคือ มีคนไทยกว่า 3.2 ล้านคน ที่มีครบทุกพฤติกรรมเสี่ยง สูบ ดื่ม อ้วน และไม่ออกกำลังกาย ซึ่งกลุ่มนี้มีโอกาสป่วย NCDs สูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่น่าตกใจอีกว่า คนไทยกว่า 90% มีความเข้าใจไม่เพียงพอต่อพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอออล์ ไม่รู้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อมะเร็งได้ โดยแอลกอฮอล์ได้ถูกจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 เชื่อมโยงกับมะเร็งอย่างน้อย 8 ชนิด ได้แก่ มะเร็งช่องปาก มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งคอหอย มะเร็งเต้านม (ในผู้หญิง) มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน
“ที่น่ากังวลจากงานวิจัยของ ศวส. สำรวจประชาชนไทย 3,924 คน จาก 12 จังหวัดทั่วประเทศ ในปี 2568 พบคนไทยกว่า 90% ไม่รู้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อมะเร็งได้ โดยมีประชาชนถึง 47.7% ที่ไม่รู้ว่าแอลกอฮอล์ก่อมะเร็งตับ ซึ่งสะท้อนความจำเป็นของการสื่อสารความเสี่ยงที่ถูกต้องและทันต่อสถานการณ์”
ด้าน รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้เผยข้อมูลที่น่าสนใจ ว่า นอกจากคนไทยกว่า 90% จะไม่รู้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อมะเร็งได้แล้ว จากงานวิจัยยังพบอีกว่า คนไทยดื่มแอลกอฮอล์สูงเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน และเป็นอันดับ 1 ของประเทศรายได้ปานกลางระดับบน ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ร่วมกับการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 7 ชี้ตรงกันว่า ปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทยยังคงสูงมาก ปัจจุบันคนไทยเริ่มดื่มเร็วขึ้น มีอายุเฉลี่ยที่ดื่มครั้งแรกอยู่ที่ 19.9 ปี สะท้อนว่า “ผู้หญิงและเยาวชน” กลายเป็นกลุ่มเปราะบาง และเป้าหมายทางการตลาดของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพื้นที่ที่มีอัตราการดื่มสูงที่สุด ความแตกต่างนี้ชี้ให้เห็นว่ามาตรการควบคุมต้องตอบโจทย์บริบทแต่ละพื้นที่ควบคู่ไปกับนโยบายระดับชาติ
“ภาระโรคที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ในไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มากกว่า 1 ใน 10 ของการตาย หรือปีสุขภาวะที่สูญเสีย (DALYs) เกิดจากแอลกอฮอล์ ทั้งก่อให้เกิดการบาดเจ็บ และป่วยจากโรค NCDs เช่น โรคหัวใจ-หลอดเลือด โรคตับ และโรคมะเร็งหลายชนิด ทุก 10 วินาที มีคนตายจากแอลกอฮอล์ 1 คน ผมพูดมา 15 นาที 90 คน เสียชีวิตไปแล้ว วันนี้เราอยู่ร่วมกัน 3 ชั่วโมง 1,080 คน เสียชีวิตไปแล้ว และยังจะตายต่อไป หากเรายังปล่อยให้การดื่มเป็นเรื่องปกติ ความสูญเสียจะทวีขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
เปิดเวทีเสวนาจากคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
“แอลกอฮอล์” หนึ่งในชนวนของโรค (ตับ มะเร็ง หัวใจ และปัญหาสุขภาพจิต)
อ.นพ.ปริญญ์ วาทีสาธกกิจ ภาควิชาอายุรศาสตร์โรคหัวใจ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับโรคหัวใจว่า จากแนวทางเวชปฏิบัติในการป้องกันโรคหัวใจทั่วโลก ไม่แนะนำให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์มักจะมาคู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ รับประทานอาหารที่มีรสจัด การนอนหลับที่ไม่ดี โดยการดูแลให้หัวใจแข็งแรง จะต้องมีการดูแลสุขภาพให้ครบ 8 ด้าน หรือ Life's Essential 8 ของสมาคมโรคหัวใจอเมริกา คือ 1.การกินดี 2. การออกกำลังกาย 3. การเลิกบุหรี่ 4. การนอน 5. การจัดการน้ำหนัก 6. การจัดการคอเลสเตอรอล 7. การควบคุมความดันโลหิต และ 8. การควบคุมน้ำตาลในเลือด
“ในประเทศไทย มีการรายงานผลข้อมูลการศึกษาในการตรวจเรื่องโรคหัวใจเต้นระริก (Atrial Fibrillation หรือ AF) คือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เราพบว่าผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ที่ยังดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเต้นระริกสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ดื่มเยอะมาก 2-3 เท่า โดยโรคนี้ใครเป็นต้องกินยาละลายลิ่มเลือดตลอดชีวิต ซึ่งถ้าไม่อยากเป็นโรคหัวใจเต้นระริกต้องไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์”
“อีกทั้งยังมีข้อมูลที่ตีพิมพ์ออกมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว โดยร่วมกับมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ IHPP International Health Policy Program Foundation เรื่องการดื่มแอลกอฮอล์กับการติดตามผลว่า คนที่ดื่มมา 30 ปี เทียบกับคนไม่ดื่ม สุขภาพเป็นอย่างไร ซึ่งผลชี้ให้เห็นชัดเจนว่าคนดื่มมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรและปีสุขภาวะที่หายไปสูงกว่าคนไม่ดื่มมาก ทำให้คนที่ไม่ดื่มมีคุณภาพชีวิตและอายุยืนยาวกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำลายระบบต่าง ๆ ในร่างกายอย่างต่อเนื่อง”
ด้าน รศ.นพ.ศิษฏ์ ศิรมลพิวัฒน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตับ วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับโรคตับ ว่า ตับเป็นอวัยวะภายในร่างกายที่ใหญ่ที่สุด มีหน้าที่หลากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสารสำคัญต่าง ๆ เช่น โปรตีน แอลบูมิน น้ำดี เกลือน้ำดี เพื่อย่อยสลายไขมัน, สะสมพลังงาน เช่น กลูโคส และวิตามิน, ผลิตพลังงานให้ร่างกาย จากการสลายสารอาหารต่าง ๆ, กำจัดของเสียที่อาจได้มาจากอาหาร หรือสารที่เรารับเข้าไป เช่น ยา แอลกอฮอล์ หรือสารที่เป็นพิษ, เป็นที่อยู่ของเม็ดเลือด เพื่อดักจับเชื้อโรค เป็นต้น
“แอลกอฮอล์ส่งผลต่อตับอย่างไร? อันดับแรกคือคนที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ จะเปลี่ยนจากตับปกติเป็น ไขมันสะสมในตับซึ่งเจอสูงเกือบ 100% และจะมีคนประมาณ 1 ใน 3 ที่ตัวโรครุนแรงมากขึ้นจนเกิดภาวะตับอักเสบ 1 ใน 5 จะมีภาวะตับแข็งจากแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นภัยเงียบที่ระยะเริ่มต้นจะไม่มีอาการผิดปกติ และพอเกิดภาวะตับแข็งก็จะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งตับทันที ซึ่งพอเกิดมะเร็งตับอัตราการตายก็จะเพิ่มสูงขึ้น เท่านี้ยังไม่พออาจจะเกิดภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งกลุ่มนี้มีอาการรุนแรงเพราะคนไข้มีอัตราการตายภายใน 1 เดือน สูงถึง 10- 50% ในระหว่างนอนโรงพยาบาล โดยทั้งนี้มีปัจจัยบางอย่างที่เร่งให้เกิดเร็วขึ้น ได้แก่ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากในครั้งเดียว โรคอ้วน โรคเบาหวาน ที่เป็นตัวเร่ง หรือคนไข้บางคนมีไวรัสตับอักเสบบีหรือซีร่วมด้วย แอลกอฮอล์ก็จะเป็นตัวเร่งให้ตับแย่ลงมากขึ้นไปอีก”
นอกจากนี้ รศ.นพ.ศิษฏ์ ศิรมลพิวัฒน์ ยังให้ข้อมูลอีกว่า ในประเทศไทยพบว่า 30-40% ของผู้ป่วยตับแข็งนอนโรงพยาบาล มีสาเหตุจากแอลกอฮอล์ โดยค่าใช้จ่ายในการดูแลอยู่ที่ประมาณ 150,000-200,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งในประเทศไทยยังมีช่องว่างในระบบคัดกรองโรคตับจากแอลกอฮอล์อยู่ เพราะว่าการเจาะเลือดดูไม่ได้แสดงว่าตับมีปัญหาจากแอลกอฮอล์หรือไม่
“แอลกอฮอล์ มีผลเสียหลายอย่าง ซึ่งการงดแอลกอฮอล์จะช่วยให้ร่างกายดีขึ้น น้ำหนักดีขึ้น ค่าเอนไซม์ตับดีขึ้น โรคตับจัดว่าเป็นภัยเงียบ เราพบว่าผู้ป่วยมีอายุน้อยลงเรื่อย ๆ บางรายตับแข็งตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 40 ปี ผู้ป่วยบางรายไม่มีอาการมาก่อน ทำให้มาถึงโรงพยาบาลในระยะที่สายเกินไป การรักษาจึงมีข้อจำกัด การคัคกรองก็มีความลำบาก แม้ว่าเจาะเลือดแล้วปกติ ก็ไม่ได้แปลว่าตับคนไข้จะปกติ ซึ่งถ้าเรามีระบบให้ความรู้ผู้ป่วย หรือคัดกรองการเกิดโรคตับจากแอลกอฮอล์ตั้งแต่เริ่มต้นก่อนที่ตัวโรคจะอยู่ในระยะลุกลาม หรือสามารถป้องกันได้ตั้งแต่ต้น น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด”
ขณะที่ ร.ศ.ดร.พญ.ภัทรพิมพ์ สรรพวีรวงศ์ หน่วยมะเร็งวิทยา สาขาวิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับโรคมะเร็ง ว่า แอลกอฮอล์เป็นตัวการที่ทำให้เกิดมะเร็ง ตั้งแต่มะเร็งช่องปาก มะเร็งลำคอ มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งเต้านม มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ใหญ่
“ผลจากการศึกษาวิจัย พบว่า มะเร็งมีความสัมพันธ์กับแอลกอฮอล์ ซึ่งทางหน่วยมะเร็งวิทยา สาขาวิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้มีการรวบรวมข้อมูล สถิติ พบว่าผู้ป่วยที่เรารับปรึกษาเรื่องมะเร็งต่าง ๆ ทุก ๆ ปี อันดับต้น ๆ ยืนยันถึงความสำคัญของแอลกอฮอล์ที่ทำให้เกิดมะเร็ง เพราะในแอลกอฮอล์มีเมทานอล พอเข้าสู่ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดสารก่อมะเร็งตัวที่สำคัญ คือ Acetaldehyde ซึ่งคนเราเวลาเกิดมะเร็งจะมีทั้งปัจจัยภายนอกที่นำเข้าสู่ร่างกาย และปัจจัยภายในร่างกายของแต่ละบุคคลที่มีความแตกต่างกัน เช่น สารของพันธุกรรม ลักษณะของยีน ซึ่งตัวสาร Acetaldehyde ในแอลกอฮอล์ มีผลทำให้ DNA มีความบกพร่อง อีกทั้งยังไปยับยั้งการซ่อมแซม DNA หรือสารพันธุกรรมที่บกพร่อง จึงทำให้เกิดมะเร็งได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเราจึงไม่มีส่วนปริมาณแอลกอฮอล์ที่ปลอดภัย เพราะเราไม่สามารถบอกได้ว่าดื่มแค่ไหนแล้วปลอดภัย เพราะภายในร่างกายอาจจะมีปัจจัยอะไรที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งได้ง่ายกว่าคนอื่น ๆ ซึ่งถ้าดื่มก็ต้องรับความเสี่ยงนี้ไปด้วย”
ขณะที่ ร.ศ.ดร.พญ.ภัทรพิมพ์ สรรพวีรวงศ์ หน่วยมะเร็งวิทยา สาขาวิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ “ดิฉันอยากให้ทุกคนช่วยกันรณรงค์ว่าให้ตื่นตระหนักว่าแอลกอฮอล์มีผลต่อการเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ที่ไม่ใช่เพียงแค่มะเร็งตับ แต่ยังมีมะเร็งชนิดอื่น ๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วย ซึ่งถ้าสามารถลด ละ เลิก ได้ในที่สุดก็จะทำให้มีสุขภาพที่ดี นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไปหรือคนที่มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับทางธุรกิจ หรือทางนโยบายอะไรก็ตามแต่ ต้องทำงานร่วมกัน ต้องบาลานซ์ระหว่างธุรกิจและสุขภาพ ซึ่งจะทำอย่างไรให้ยั่งยืนต่อไปได้”
อ.พญ. ปองขวัญ ยิ้มสะอาด ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับโรคทางจิตเวชว่า ผู้ที่มีปัญหาการดื่มสุราจะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเจอโรคทางจิตเวชได้แทบทุกกลุ่มโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า โรคไบโพลาร์ โรคกลุ่มวิตกกังวล เป็นต้น
“คำถามคืออะไรมาก่อนกัน ซึ่งเราอาจจะเคยอ่านเจอว่า ทำไมเศร้าถึงชอบกินเหล้า มันช่วยให้หายเศร้าจริงเหรอ? หรือเศร้า เสียใจ กินเหล้าช่วยไหม? อันนี้ก็ยังแสดงให้เห็นว่าในสังคมออนไลน์หรือสังคมทั่ว ๆ ไปยังมีความเชื่อหรือความสงสัยอยู่บ้างว่าการดื่มแอลกอฮอล์ช่วยได้หรือเปล่า และอาจจะมีบางคนที่ยังใช้เหล้าหรือสุรามาช่วยเยียวยาให้เขารู้สึกดีขึ้น ซึ่งทางการแพทย์มันอาจจะบอกไม่ได้ซะทีเดียวว่าเศร้าแล้วดื่ม หรือว่าดื่มแล้วเศร้า เพราะว่ามันสัมพันธ์เป็นวงจรกัน เพราะฉะนั้นใครเข้ามาในวงจรนี้ก็อาจจะยากที่จะออกจากวงจร”
“ตัวอย่างที่ทำให้เห็นภาพง่ายขึ้นก็คือการดื่มกับความซึมเศร้า โดยคนเราอาจจะเริ่มต้นจากความเศร้า ไม่สบายใจ เครียด วิตกกังวล ก็เลยเลือกที่จะดื่ม พอดื่มก็อาจจะดีขึ้นด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดประสาทและรบกวนสารสื่อประสาทบางชนิดในสมองของเรา ทำให้อาการเศร้าแย่ลง และต้องดื่มเพื่อให้อาการบรรเทาไป มันก็จะทำให้เกิดเป็นวงจรขึ้นมา ทำให้อาการเศร้าแย่ลงเรื่อย ๆ”
“มีข้อมูลจากการศึกษาหลาย ๆ ประเทศ ระบุว่าการดื่มหนักเป็นประจำ นอกจากจะทำให้เกิดหลาย ๆ โรค ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ โรคตับ โรคมะเร็ง โรค NCDs แล้ว ก็ยังสัมพันธ์กับอาการซึมเศร้าด้วย ส่วนคนที่เป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว การดื่มแอลกอฮอล์ จะทำให้อาการซึมเศร้าแย่ลง รักษายากขึ้น ต้องใช้ระยะเวลานานขึ้น ใช้ยาเยอะขึ้น อีกประเด็นหนึ่งก็คือ แอลกอฮอล์อาจจะไปรบกวนการออกฤทธิ์ของยาต้านเศร้าได้ และต่อเนื่องจากโรคซึมเศร้า ปัญหาที่เรากังวลกันมากที่สุดคือการทำร้ายตัวเองหรือการฆ่าตัวตาย ซึ่งมีข้อมูลสำรวจใน 183 ประเทศ พบว่า ปริมาณการบริโภคแอลกอฮอล์ระดับชาติที่สูงขึ้น สัมพันธ์กับอัตราการฆ่าตัวตายของประเทศที่สูงขึ้น ส่วนในระดับบุคคล ระบุว่า ผู้ที่มีภาวะ Alcohol Use Disorder จะมีความเสี่ยงต่อการพยายามทำร้ายตัวเองสูงกว่าบุคคลทั่วไป 3 เท่า เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงกว่าคนทั่วไป 2.5 เท่า ส่วนการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า 1 ใน 3 ของผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมีผลตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดเป็นบวก”
“อาจสรุปได้ว่า ปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ที่เพิ่มขึ้น สัมพันธ์กับสุขภาพจิตที่แย่ลง ซึ่งสังคมควรตระหนักและแก้ไขความเชื่อผิด ๆ ที่ว่าแอลกอฮอล์ช่วยเยียวยาโรคซึมเศร้า หรือช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น โดยมาตรการควบคุมการบริโภคแอลกอฮอล์ ก็เป็นมาตรการสำคัญมาตรการหนึ่งในการลดปัญหาสุขภาพจิต รวมถึงปัญหาฆ่าตัวตาย ถ้าหากว่าท่านหรือคนใกล้ชิดมีความสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ทางภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรามีสายด่วนเลิกเหล้า โทร. 1413 ซึ่งเรามีนักจิตวิทยาให้คำปรึกษาค่ะ สุดท้ายแล้วดิฉันมองว่า การป้องกันสามารถทำได้ง่าย และมีความสำคัญมากกว่าการรักษา เพราะว่าการรักษาจะต้องใช้ทรัพยากรและแรงเยอะ ฉะนั้นการป้องกันน่าจะดีที่สุด”
หยุดวิกฤต NCDs จากแอลกอฮอล์
ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพื่อคุณภาพชีวิตและสุขภาวะที่ดีของคนไทยอย่างยั่งยืน
ผู้อำนวยการ ศวส. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้กล่าวว่า ไทยจำเป็นต้องมีมาตรการเข้มขึ้น และทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน เพื่อหยุดความสูญเสียจากน้ำเมา และลดภาระโรค NCDs ที่ทวีความรุนแรงขึ้น”
“มาตรการดูแลนโยบายแอลกอฮอล์ในไทย ถ้าทุกท่านเห็นในข่าวตอนนี้ มี พ.ร.บ.ตัวใหญ่ออกมาแล้ว เรื่องผ่อนคลายเวลาขายชั่วคราว (14.00-17.00 น.) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว แต่สิ่งที่ผมคิดว่าประชาชนต้องรับทราบและต้องตระหนักรู้ ก็คือ กฎหมายลูกต่าง ๆ ที่จะออกมาจากคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮออล์ ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้มีผู้แทนธุรกิจแอลกอฮอล์เข้ามาเป็นคณะกรรมการด้วย”
“ตอนนี้เรามองไว้ในระยะ 1 ปี กับ 3 ปี ผมว่าใน 1 ปี สิ่งที่สำคัญคือการออกกฎหมายลูก ส่วน 3 ปี สิ่งที่ต้องทำคือการประเมิน หน้าที่ของประชาชนหรือสื่อคือต้องเฝ้าระวัง ติดตาม ว่าสิ่งที่รัฐบาลพูดเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ เช่น ขยายเวลากระตุ้นเศรษฐกิจจริงไหม? หรือจริง ๆ แล้วมีผลกระทบมากกว่า จริง ๆ เรามีข้อมูล งานวิจัยของ ผศ.ดร.เฉลิมพงษ์ คงเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) จัดทำขึ้น 2 ปี ที่แล้ว โดยสำรวจนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศไทย พบว่า นักท่องเที่ยวเขาไม่ได้มีความสนใจเรื่องเวลาขายแอลกอฮอล์ และ 84% ระบุว่า การขยายเวลาไปยาวนานขึ้น ไม่ได้เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจมาเที่ยวประเทศไทย ซึ่งในมุมมองนักวิชาการ ผมมีความกังวลมาก ๆ ผมคิดว่ามาตรการแบบนี้อาจจะไม่ได้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”
“ไทยจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็งขึ้น เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนในระยะยาว และลดภาระ NCDs ที่กำลังทวีความรุนแรง ผมอยากเสนอให้มีมาตรการควบคุมที่เข้มขึ้นและเหมาะสมตามบริบทพื้นที่ พร้อมบูรณาการการทำงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ นักวิชาการ แพทย์ ภาคประชาชน และชุมชน เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชน”
ด้าน ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่ขับเคลื่อนในงานนโยบายวิชาการก็คือ การพัฒนาเรื่องกรอบการทำงานเรื่อง NCDs ใหม่ เป็นกรอบที่ขยายบทบาทคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่ปัญหาส่วนบุคคลแต่ต้องดูบ้าน สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ดูสินค้าว่าซับพลาย-ดีมานต์ เป็นอย่างไร โดยมาตรการนี้ต้องอาศัยสรรพกำลังของรัฐบาล หน่วยงานท้องถิ่น ผู้ผลิต/ผู้กระจายสินค้า ภาควิชาการ/มหาวิทยาลัย องค์กรวิชาชีพ องค์กรสื่อ ภาคประชาสังคม นักการเมือง ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเครื่องมือนโยบาย การออกแบบ การพัฒนานวัตกรรมโมเดล การขยายผลเชิงระบบ การสนับสนุนการเฝ้าระวัง การปฏิบัติตามกฎหมายและความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เป็นต้น
“สิ่งที่ผมอยากจะย้ำ คือ ตอนนี้เราอยู่ในยุค Commercial Determinants of Health ปัจจัยการค้าขายพานิชย์มีผลต่อสุขภาพ ยกตัวอย่าง เราอยากซื้อน้ำดื่มในร้านสะดวกซื้อ แต่พอเข้าไปแล้ว เรากลับได้ของอย่างอื่นติดไม้ติดมือมาด้วย นั่นก็คือเราอาจจะเจอกลไกเรื่องตลาด ราคา สุดท้ายเราก็ติดวังวนนี้ไป เราอาจจะได้สิ่งของที่ไม่มีความจำเป็นนัก อย่างแอลกอฮอล์โดนตรง ๆ อย่างการขาย การขยายเวลา การโฆษณาบางประเด็น ซึ่งกลไกเชิงพานิชย์ส่งผลต่อสุขภาพของเราไม่มากก็น้อยทั้งทางตรงและทางอ้อม ถ้าใช้ถูกต้องก็ดีไป การทำงาน การออกกฎหมาย กฎระเบียบต้องดูตรงนี้ด้วย”
“ที่ผ่านมาการทำงานรณรงค์ถือว่าประสบความสำเร็จ เราสามารถลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อันตรายได้ เราทำงานกันอย่างเข้มข้น ศูนย์วิจัยปัญหาสุราก็ยืนหนึ่งที่จะพัฒนางานเชิงวิชาการเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย ออกกฎหมาย กฎระเบียบ ซึ่งการขับเคลื่อนสังคมก็มีส่วนสำคัญ เราพยายามจะทำให้รู้สึกว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นเรื่องที่ไม่ดีต่อสุขภาพและยังสร้างผลกระทบมากกว่าแค่เรื่องสุขภาพ”
”สำหรับงานวันนี้เป็นการเสวนาวิชาการ เป็นการระดมความร่วมมือเชิงวิชาการหลายภาคส่วน ต้องเกิดการขับเคลื่อนโดยนโยบาย ถือเป็นเวทีที่จะสร้างความร่วมมือและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ในวงกว้าง เราปักหมุดมากกว่าการให้ความรู้ แต่ความรู้ก็ยังมีความจำเป็นที่ต้องส่งต่อให้ประชาชน คนบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ วันนี้ถือเป็นโอกาสที่เราจะนำข้อมูลมาพูดคุย เสวนา และสื่อสารสังคม วัตถุประสงค์เพื่อป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ และลดการเกิดโรค NCDs ที่เป็นปัญหาของคนไทยในภาพรวม ต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่จัดงานนี้ขึ้นมา ผมมองว่าปัญหานี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมของทั้งสังคม ทุกคนจึงควรช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ภาระโรคจะลดลง และคุณภาพชีวิต รวมถึงสุขภาวะของคนไทยจะดีขึ้นอย่างยั่งยืน” รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวทิ้งท้าย


