xs
xsm
sm
md
lg

สสส. x มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ปลดล็อกบทบาททางเพศ ลบภาพจำ “งานบ้านคือหน้าที่ผู้หญิง” ร่วมสร้างสังคมปราศจากความรุนแรง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



‘ทุกคนทำงานบ้านได้’ สสส.- มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ชวนสร้างความเท่าเทียม ลดปัญหาความรุนแรง ผ่านแคมเปญ ‘งานบ้านไม่เลือกเพศ ความเท่าเทียมเริ่มได้ในครอบครัว’

เมื่อพูดถึง “งานบ้าน” หลายคนอาจมองว่าเป็นหน้าที่ของผู้หญิง เพราะเรามักจะได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ กับคำว่า “แม่ศรีเรือน” “แม่บ้านแม่เรือน” หรือการปลูกฝังทัศนคติกันมาตั้งแต่เนิ่นนานว่าผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า เป็นผู้นำ ทำหน้าที่หาเงิน ทำงานนอกบ้าน ส่วนผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง มีหน้าที่ทำงานบ้าน ทำกับข้าว เลี้ยงลูกอยู่บ้าน แต่หากเราลองปรับทัศนคติและความคิดกันเสียใหม่ ว่า งานบ้านไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่งหรือเพศใดเพศหนึ่ง แต่งานบ้านคืองานที่ทุกเพศสามารถทำได้ หรือช่วยกันทำได้ ซึ่งการช่วยกันทำงานบ้าน ส่งผลต่อความเท่าเทียม ทำให้เกิดความรัก ความเข้าอกเข้าใจ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี แถมยังลดความรุุนแรงในครอบครัวได้อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้เอง ทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ได้เล็งเห็นความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงได้ร่วมกันจัดงานรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ประจำปี 2568 ภายใต้แคมเปญ “งานบ้านไม่เลือกเพศ ความเท่าเทียมเริ่มได้ที่ครอบครัว” ทั้งนี้เพื่อปูพื้นฐานสู่การสร้างความเท่าเทียม ก้าวข้ามทัศนคติชายเป็นใหญ่ ที่จะนำไปสู่ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวนั่นเอง

สสส. x มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล
ปลดล็อกบทบาททางเพศ ลบภาพจำ “งานบ้านคือหน้าที่ผู้หญิง”
ร่วมสร้างสังคมปราศจากความรุนแรง

นางสาวรุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้กล่าวถึงการทำงานร่วมกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และการสนับสนุนแคมเปญ ‘งานบ้านไม่เลือกเพศ ความเท่าเทียมเริ่มได้ในครอบครัว’ ว่า สสส. มองว่า ยูนิตที่เล็กที่สุดในสังคม ก็คือ ‘ครอบครัว’ ถัดมาคือ ‘ชุมชน’ โดยความรุนแรงในครอบครัวถือเป็นเรื่องที่สังคมไทยพูดกันน้อย เพราะมองว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว ซึ่งบ้านเป็นที่ที่ปลอดภัยแต่สำหรับบางคนกลับไม่ปลอดภัยด้วยซ้ำ ซึ่งปัญหาที่ทำให้เกิดความรุนแรงในครอบครัวมากที่สุด นั่นก็คือ ‘แอลกอฮอล์’

โดย ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สสส. ได้ให้ข้อมูลว่า แอลกฮอล์ มีส่วนสำคัญและส่งผลต่อความรุนแรงในครอบครัวอย่างมาก โดยในปี พ.ศ. 2567 มีข่าวความรุนแรงถึง 1,529 ข่าว และในจำนวนนี้มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยกระตุ้น 448 ข่าว คิดเป็น 29.3% และยาเสพติด 412 ข่าว คิดเป็น 26.9% แบ่งเป็น ข่าวทำร้ายกัน 638 ข่าว คิดเป็น 41.7% ฆ่ากันในครอบครัว 562 ข่าว คิดเป็น 36.8% ฆ่าตัวตาย 235 ข่าว คิดเป็น 15.4% ความรุนแรงทางเพศของคนในครอบครัว 75 ข่าว คิดเป็น 4.9% และความรุนแรงในครอบครัวอื่น ๆ 19 ข่าว คิดเป็น 1.2% เช่น ข่มขู่ เผาบ้าน ทำลายทรัพย์สิน 

นางสาวรุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
“ตัวเลขข้างต้น มันสะท้อนได้ชัดเจนเลยค่ะว่าสังคมไทยเกิดอะไรขึ้น เราอาจจะต้องกลับไปย้อนดูบริบทแวดล้อมที่มันเปลี่ยนไป ที่ทำให้คนหันไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และส่งผลให้เกิดความรุนแรง น่าตกใจที่ความรุนแรงมันส่งผลให้เกิดคดีอาชญากรรมมากกว่า 30% มีคนถามว่าแอลกอฮอล์กับความรุนแรงเกี่ยวข้องกันอย่างไร? ซึ่งจริง ๆ แล้วแอลกอฮอล์ก่อให้เกิดปัญหาสำคัญหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ เรื่องอาชญากรรม ความรุนแรง เรื่องเศรษฐกิจในครอบครัว รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศด้วย”

ด้าน อังคณา อินทสา ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ประจำปี 2568 ว่า มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลได้จัดกิจกรรมภายใต้คอนเซ็ป “งานบ้านไม่เลือกเพศ ความเท่าเทียมเริ่มได้ที่ครอบครัว” โดยสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล ซึ่งประเทศไทยเองก็ได้ก็มีการกำหนดให้เดือนพฤศจิกายน เป็นเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อตระหนักถึงสถานการณ์เรื่องความรุนแรงในครอบครัว

“กิจกรรมในวันนี้เรามีวัตถุประสงค์ เพื่ออยากสร้างความตระหนักให้กับสังคมว่าเรื่องงานบ้านเป็นงานที่ทุกเพศ ทุกคนในครอบครัวสามารถทำร่วมกันได้ และยังเป็นประเด็นการสื่อสารเรื่องความรุนแรงในครอบครัวด้วย ซึ่งจากสถานการณ์การทำงานของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เราพบว่า ความรุนแรงจากประเด็นเรื่องงานบ้านมีคนเข้ามาขอคำแนะนำ ขอคำปรึกษาจากมูลนิธิฯ ถือเป็นสถิติที่เพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้จะสะท้อนให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และจำเป็นที่คนในครอบครัวและทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันในการแก้ปัญหา”

คุณอังคณา อินทสา ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล
“ทั้งนี้มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลขอขอบคุณทาง สสส. ขอบคุณทุกภาคส่วน ที่ร่วมกันทำให้มีกิจกรรมดี ๆ และสร้างความตระหนัก ทำให้สังคมนำไปสู่ความเข้าใจในมิติปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เพราะงานบ้านสามารถทำร่วมกัน และเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเท่าเทียม ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถเริ่มได้ที่ครอบครัวค่ะ”

เปิดผลสำรวจ! พบคนไทย 91.7% เห็นด้วยว่า ควรสอนเด็กทุกเพศให้ทำงานบ้าน เพื่อปลูกฝังทัศนคติความเท่าเทียม

นางสาวจรีย์ ศรีสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ได้กล่าวถึงผลสำรวจ ว่า ได้มีการออกแบบสำรวจความเห็นต่อการทำงานบ้านของประชาชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปี 2568 โดยมีการเก็บข้อมูลในช่วงตุลาคม 2568 ระหว่างวันที่ 9-30 ต.ค. 2568 จากการสำรวจประชากรจำนวน 2,750 คน คิดเป็นผู้หญิง 48.8% ผู้ชาย 41.2% LGBTQ+ 10 % กลุ่มอายุ 20-25 ปี 34.8% อายุ 26-30 ปี 13.9% อายุ 31-35 ปี 10.1% อายุ 36-40 ปี 11.5% อายุ 41-45 ปี 17% และอายุ 46 ปีขึ้นไป 12.% ซึ่งกว่า 50 % มีประสบการณ์ในชีวิตคู่

“จากกลุ่มตัวอย่าง 90.7% เห็นด้วยว่า ให้ปลูกฝังการทำงานบ้านและฝึกให้เด็กทุกเพศทำงานบ้านและสร้างทัศนคติที่ดีเรื่องความเสมอภาคระหว่างเพศ, 89.1 % เห็นด้วยว่า ระบบการศึกษาควรปลูกฝังงานบ้านเป็นความรับผิดชอบของทุกคนในบ้านไม่ว่าจะเป็นเพศไหน, 87.7% เห็นด้วยว่า ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงให้งานบ้านเป็นความรับผิดชอบของทุกคนและสามารถทำได้ทุกเพศอย่างจริงจัง และ86.2% เห็นด้วยว่า พ่อ แม่ ผู้ปกครองช่วยกันทำงานบ้านเป็นแบบอย่างได้”

นางสาวจรีย์ ศรีสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล
“นอกจากนี้ข้อมูลยังพบอีกว่า 70.8% เห็นด้วยว่า ผู้ชายที่ช่วยทำงานบ้านจะถูกขัดเกลาความคิด/ทัศนคติ พฤติกรรมและนำมาสู่ความเท่าเทียมระหว่างเพศได้, 64.5% เห็นด้วยหากผู้หญิงต้องรับภาระงานบ้านเพียงฝ่ายเดียวจะเกิดปัญหาความสัมพันธ์ที่เปราะบาง นำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัว และ 52.5% เห็นด้วยว่า หากผู้ชายทำงานบ้านจะไม่มีเวลาไปกินดื่มสังสรรค์ และน่าจะมีส่วนช่วยให้ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้”

นางสาวจรีย์ กล่าวต่อว่า ส่วนความเห็นที่สะท้อนความคิดชายเป็นใหญ่ ระบุว่า 48 % มองว่าผู้ชายมีหน้าที่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัว, 41.7% โตมาเห็นแต่แม่ น้องสาว พี่สาวเป็นคนทำงานบ้าน, 36.9% ผู้หญิงที่ดีต้องเป็นแม่บ้าน แม่ศรีเรือน, 30.4% ผู้หญิงทำงานนอกบ้านต้องทำงานในบ้านด้วย และ 28.9% งานบ้านไม่ใช่หน้าที่ของผู้ชายแต่เป็นหน้าที่ของผู้หญิง แม้ว่าสัดส่วนจะน้อยแต่เพศชายมีแนวโน้มที่จะมองว่าการทำงานบ้านเป็นเรื่องที่กระทบต่อความเป็นลูกผู้ชาย และความเป็นผู้นำ


ทั้งนี้ ผู้หญิงกว่า 50% เห็นด้วยกับ 2 ประเด็น คือ 1.หากแฟน ภรรยาทำงานทั้งในบ้าน หรือนอกบ้านคนเดียวจะเกิดความเครียด หงุดหงิด เหนื่อยล้า 2. หากผู้หญิงทำงานบ้านฝ่ายเดียว จะทำให้ความสัมพันธ์เปราะบาง ทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวได้ และประเด็นหนึ่งที่สำคัญในเรื่องของการเลี้ยงดูบุตร ผลสำรวจ 85.3% เห็นด้วยว่า ควรให้สิทธิพ่อลาเลี้ยงลูกได้ 15 วัน เพราะช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ และส่งผลดีต่อความผูกพันในครอบครัว

นางสาวจรีย์ ยังได้กล่าวอีกว่า จากข้อมูลผลสำรวจนั้น หากจะทำให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นได้จริง ๆ ต้องทำทั้งในระดับบุคคล ระดับครอบครัว และระดับนโยบาย

โดย ระดับบุคคล ต้องเริ่มจากเปลี่ยนวิธีคิด มุมมองก่อนว่างานบ้านไม่ใช่แค่เรื่องของผู้หญิง ต้องมองว่าเป็นเรื่องความรับผิดชอบร่วม สามารถทำได้ทุกเพศ มองว่าเป็นงานที่มีคุณค่า ซึ่งจะทำให้เกิดการสื่อสารและมีข้อตกลงร่วมกันระหว่างคู่รัก

ระดับครอบครัว คือ บทบาทของพ่อแม่ และผู้ปกครอง เป็นแบบอย่างที่ดีในการทำงานบ้านร่วมกัน เกิดการสร้างความเปลี่ยนแปลงใหม่ในครอบครัว ไม่จำกัดเพศ และส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว

และในระดับนโยบาย คือ 1. ร่วมรณรงค์สร้างค่านิยมใหม่ ให้ความสำคัญกับงานบ้านอย่างต่อเนื่องร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2. ร่วมรณรงค์กฎหมายสิทธิการลาเลี้ยงลูกของผู้ชาย ส่งเสริมให้เกิดการใช้สิทธิ์ได้อย่างจริงจัง และ 3. ปรับหลักสูตรให้โรงเรียนมีความตระหนักถึงความรับผิดชอบของตนเองในการทำงานบ้านไม่จำกัดเพศ

“เรื่องงานบ้าน เป็นเรื่องใกล้ตัว หลายคนอาจมองว่างานบ้านเป็นเรื่องส่วนตัวในครอบครัว แต่ว่าจากประสบการณ์การทำงานที่ทำให้กับชุมชนและสังคม เราเห็นมิติว่าเรื่องงานบ้านมันสะท้อนความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เป็นเรื่องความไม่เท่าเทียมในครอบครัวอย่างชัดเจน มันมาจากการถูกปลูกฝังที่ผู้ชายเป็นผู้นำ ผู้หญิงเป็นผู้ตาม ต้องทำงานบ้าน ดูแลปรนบัติ ยังมีบางส่วนที่มีความเชื่อว่างานบ้านเป็นหน้าที่ของผู้หญิง ซึ่งเราก็ได้วิเคราะห์กันว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัว หนึ่งในนั้นมาจากความคิดแบบชายเป็นใหญ่ ซึ่งการที่จะมาคุยกันประเด็นเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่จะนำไปสู่ความเท่าเทียม เราจะทำอะไรได้บ้าง เราเลยคุยกันว่า อย่างนั้นเรามาเริ่มจากเรื่องในชีวิตประจำวันดีไหม ก็เลยโฟกัสประเด็นเรื่องงานบ้าน”

“เราควรเริ่มจากการเปลี่ยนวิธีคิด เพราะการที่จะมีความสัมพันธ์ที่เฮลตี้ต้องเริ่มจากวิธีคิดก่อน อย่ามองว่างานบ้านเป็นเรื่องของผู้หญิงเท่านั้น การที่ทุกเพศรับผิดชอบงานบ้านจะช่วยลดช่องว่าง สร้างความเข้าใจที่ดีในครอบครัว นำไปสู่ความเท่าทียมระหว่างเพศอย่างเป็นรูปธรรมได้ เมื่อทุกคนในครอบครัวมีส่วนร่วม เคารพซึ่งกันและกัน จะช่วยลดความขัดแย้ง ป้องกันการเกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวได้ ยกตัวอย่าง ลุงคนหนึ่งเขาติดเหล้า ในชีวิตไม่กล้ารีดผ้าเลย เพราะมองว่าไม่ใช่หน้าที่ของผู้ชาย แต่พอเขาเลิกเหล้าได้ เขารีดผ้าโชว์ พอความคิดเขาเปลี่ยน พฤติกรรมเขาก็เปลี่ยน”

ด้าน มุกดา ยั่งยืนภารดร แผนงานยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง องค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN WOMEN) ได้กล่าวถึงสถานการณ์ระดับโลกและระดับภูมิภาคว่าด้วยผู้ชายกับการทำงานบ้าน ว่า บทบาทผู้ชายกับการทำงานบ้าน มี 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.บรรทัดฐานทางเพศ 2. ความคาดหวังในเชิงวัฒนธรรม และ 3. บรรทัดฐานทางสังคม ที่ยังคงมีการเลือกปฏิบัติอยู่ โดย 3 ปัจจัยนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ความเข้าใจว่า งานบ้านเป็นงานของผู้หญิง หรืองานดูแลเป็นงานของผู้หญิง มันยังดำรงอยู่ กระบวนการนี้ยังเกิดขึ้นอยู่ในสังคม โดยมีงานวิจัยไปศึกษาการใช้เวลาของคนในประเทศไทยด้วย พบว่า ผู้ชายกับผู้หญิงใช้เวลาในการทำงานเพื่อผู้อื่น คือ งานดูแล งานบ้านต่าง ๆ ไม่เท่ากัน ซึ่งผู้ชายจะใช้เวลาน้อยกว่าโดยมีนัยยะสำคัญ แล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไร อย่างแรกเลยคือ ต้องผลักดันความรู้ความเข้าใจใหม่ ๆ ว่างานดูแลหรืองานบ้านเป็นของทุกคน ไม่ใช่แค่เพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น

“เคยมีงานวิจัยเทียบเด็กผู้หญิงหรือผู้หญิง กับเด็กผู้ชายหรือผู้ชายว่า ทั้งสองเพศนี้ใช้เวลาในการทำงานบ้าน งานดูแลมากน้อยต่างกันเท่าไหร่ เฉลี่ยคือ ผู้หญิง 2.7 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนผู้ชาย 0.8 ชั่วโมงต่อวัน และเมื่อเทียบเรื่องการอยู่ในตลาดแรงงาน ผู้ชายที่ยังไม่แต่งงานอยู่ในตลาดแรงงาน 97% ผู้หญิง 82% ในขณะที่เมื่อผูู้หญิงมีครอบครัวแล้วจะอยู่ในตลาดแรงงานหรือออกจากอัตราการจ้างงานลดลงเหลือ 62% ในขณะที่ผู้ชายยังอยู่ในตลาดแรงงาน 97% เท่าเดิม ซึ่งผลวิจัยนี้เผยให้เห็นว่าคนที่ต้องเสียสละงาน เสียสละออกจากหน้าที่การงาน โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้หญิง”

คุณมุกดา ยั่งยืนภารดร แผนงานยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง องค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN WOMEN)
“ตอนนี้ทาง UN WOMEN ได้ทำแคมเปญชื่อว่า TRANSFORM CARE เป็นการขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุนในระบบการดูแล เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ โดยมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบเพื่อลดภาระงานดูแลที่ไม่ได้รับค่าจ้างซึ่งส่วนใหญ่เป็นของผู้หญิง และสร้างโอกาสการจ้างงานใหม่ ๆ ในภาคส่วนนี้ ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติ หรือบรรทัดฐานทางสังคม บทบาททางเพศที่ถูกยึดโยงอยู่ เกี่ยวกับงานดูแล รวมถึงงานบ้านด้วย”

“ทำไมเราต้องคุยกันเรื่องงานดูแล งานบ้าน สำคัญอย่างไร? ซึ่งงานดูแล คือ การช่วยเหลือผู้อื่นให้ดำเนินชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น ซึ่งรวมถึงการดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ โดยสามารถแบ่งเป็นงานที่ได้รับค่าจ้าง เช่น พยาบาล ผู้ดูแลผู้สูงอายุ และงานที่ไม่ได้รับค่าจ้าง เช่น การดูแลคนในครอบครัว เช่น ทำอาหาร ทำงานบ้าน ซึ่งเป็นงานที่ล่อเลี้ยงชีวิตที่ทำให้งานชนิดอื่น ๆ เกิดขึ้นและเป็นไปได้ ที่สำคัญเป็นงานที่ฟูมฟักสุขภาวะ มันสามารถทำให้ชีวิตเราเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และเดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้นงานบ้านเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก ๆ งานบ้านไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่ยังเป็นเรื่องสังคม เป็นเรื่องของนโยบายที่ต้องมีระบบบริการช่วยสนับสนุน เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ รวมไปถึงเรื่องสารณูปโภคในภาพรวม”

‘งานบ้าน’ ส่งผลต่อความสัมพันธ์ในชีวิตคู่
แชร์มุมมองถึงคู่รักยุคใหม่

พญ. ลลนา ก้องธรนินทร์ หรือ “หมอเจี๊ยบ” และดารานักแสดง พิธีกร ได้ร่วมแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับการทำงานบ้านว่า คุณพ่อคุณแม่มักจะสอนให้ตนทำงานบ้านตั้งแต่เด็ก ๆ ทั้งนี้เพื่อฝึกให้เป็นทักษะชีวิต และเป็นมารยาทพื้นฐานอย่างหนึ่งในการอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม

“ตอนเด็ก ๆ คุณพ่อ คุณแม่ มักจะเน้นสอนเรื่องความความรับผิดชอบกับความเป็นระเบียบเรียบร้อย และสอนให้ทำงานบ้านเพื่อเป็นทักษะชีวิต ทำให้โตขึ้นรู้สึกว่างานบ้านเป็นทักษะพื้นฐานที่ทุกคนควรรู้ ท่านจะไม่ได้มาบังคับว่าเรียนเสร็จต้องมาทำงานบ้านนะ แต่จะสอนให้ทำอะไรตามวัยที่ควรจะเป็น ให้เราใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างถูกต้อง กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า เราทำเป็นหมด”

“งานบ้านไม่มีเพศ เป็นสิ่งที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน” หมอเจี๊ยบกล่าวขึ้น เมื่อได้รับคำถามว่า แล้วถ้าคู่รักหรือคู่สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกัน จะแบ่งหน้าที่ในบ้านกันอย่างไร ถ้าต้องออกไปทำงานด้วยกันทั้งคู่? 

พญ. ลลนา ก้องธรนินทร์ หรือ “หมอเจี๊ยบ”
“อย่าเอางานบ้านมาเป็นตัวกำหนดชีวิตคู่ แต่มันคือการปรับตัว พูดคุย ตกลงกัน ใช้ความรัก ความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจกันใจ ซึ่งเราต้องมาประสานกันนะว่าเราจะแบ่งกันอย่างไร ทุกวันนี้เราอยู่ในยุค 2025 แล้ว บางทีเราต้องทำงานด้วยกันทั้งคู่ หรือบางทีผู้หญิงออกไปทำงาน ผู้ชายเป็นพ่อบ้านด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นงานบ้าน จึงเป็นงานที่เราต้องช่วยกันในครอบครัวมากกว่า อันไหนใครทำได้ อย่างวันนี้เธอทำงานหนัก ฉันช่วยนะ อย่าไปคิดว่าหน้าที่เธอ หน้าที่ฉัน แต่มันคือหน้าที่เราที่ต้องช่วยกัน ลองแบ่งกันทำจากเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ถ้าอีกฝ่ายต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ช่วงนี้อาจจะประชุมหนัก อีกฝ่ายก็อาจจะทำแทน หรืออะไรที่ตัวเราทำได้ทันทีก็จะทำเองเลย เช่น กินข้าวเสร็จแล้วล้างจานเอง เป็นต้น”

“ชีวิตคู่ต้องสื่อสารกัน วางแผนร่วมกัน ต้องมีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน จะต้องมีการยอมกันทั้งคู่ เพราะถ้ามีใครยอมแค่ฝ่ายเดียวก็จะเหนื่อย จะท้อไปเอง จะทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ดี แต่ถ้าทั้งคู่ได้เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับไปพร้อม ๆ กัน ไม่มีใครรู้สึกว่าให้มากกว่าหรือได้รับน้อยกว่า ความสัมพันธ์ก็จะยืนยาว ซึ่งเมื่อใดก็ตามมันเริ่มไม่เท่ากัน ความสัมพันธ์จะเริ่มไม่ดี นำไปสู่ความรุนแรงและปัญหาสุขภาพจิตต่าง ๆ ยิ่งถ้ามีลูก ลูกก็ต้องมารับผลที่ตามมาได้”

นอกจากนี้หมอเจี๊ยบยังฝากไว้ว่า อยากให้ทุกคน ทุกเพศ มองการทำงานบ้านเป็นทักษะชีวิตที่ควรรู้ ไม่ใช่เรื่องของเพศ เริ่มจากเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้ฝึกตามวัย กล่าวชื่นชมเขาเวลาทำได้ดี และแบ่งหน้าที่กันอย่างยุติธรรม จะช่วยให้บรรยากาศในบ้านอบอุ่นขึ้น และเด็กจะโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดูแลตัวเองได้ดี

ด้าน นายทสร บุณยเนตร Chief Creative OfficerBBDO Bangkok กล่าวถึงการทำงานและการสื่อสารสาธารณะว่า ตนได้มีโอกาสร่วมงานกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลมา 10 กว่าปี ตั้งแต่แคมเปญแรก #WomenAgainstAbuse #แชร์ช้ำช่วยชั้น ชวนผู้หญิงทุกคนเอาลิปสติกทาใต้ตา เพื่อให้เหยื่อความรุนแรง กล้าแชร์รอยช้ำบนหน้าตัวเอง #บ้านไม่ใช่เวทีมวย เพื่อส่งแมสเซสบอกผู้ชายที่ชอบความรุนแรง ชอบดูมวย โดยเราไป Hijack Ring Girl ที่สนามมวย เปลี่ยนผู้หญิงที่เป็นเหยื่อความรุนแรงมาเดินถือป้ายตอนพักยกแทน

นอกจากนี้ในช่วงโควิดยังได้สร้างแคมเปญ #MuseumOfFirstTime รณรงค์ให้ยุติความรุนแรงในบ้าน ที่สร้าง Virtual Museum ให้คนสัมผัสประสบการณ์จริงของเหยื่อความรุนแรง ที่เคยให้โอกาสแฟนครั้งที่สอง

จนกระทั่งมาแคมเปญล่าสุด #SecondChance ที่พาจีจี้ สุพิชชา ให้กลับมาเตือนผู้หญิงทุกคนที่ให้โอกาสความรุนแรงเป็นครั้งที่สอง จนได้ทำให้เข้าใจ ความหมายของคำว่า Domestic Violence มากขึ้นทุกปี ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่ต้องการความเข้าใจ รับฟัง และร่วมกันแก้ปัญหาภายในครอบครัวอย่างจริงจัง แต่ปัญหานี้จะไม่มีทางถูกแก้ ถ้าคนในครอบครัวไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ

นาย ทสร บุณยเนตร Chief Creative OfficerBBDO Bangkok
“จากที่ได้ทำแคมเปญเกี่ยวกับความรุนแรง ผมมองว่าเวลาทำร้ายกันในบ้าน เราจะไม่อยากบอกคนอื่นหรอก เราไม่อยากให้ใครรู้ เพราะเป็นเรื่องในครอบครัว แต่ถ้าเราแก้ปัญหาในบ้านไม่ได้ ก็อยากให้ส่งสารมาให้คนนอกช่วยเถอะครับ ผมไม่เคยเห็นบ้านไหนที่ทำร้ายร่างกายกันแล้วบ้านสะอาดเลย ขวดแตก จานข้าวระเกะระกะ ข้าวของเละกระจัดกระจาย ทำให้จิตใจหดหู่ หม่นหมอง ไม่โอเค อย่างเรื่องงานบ้านก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ช่วยกันทำ มันอาจจะทำให้บ้านไม่มีอยู่จริง บ้านมันเป็นพื้นที่สำหรับแชร์กัน ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งงานบ้านมันลิงก์กับความรุนแรงได้ เพราะมันสัมพันธ์กับชีวิตคู่ และชีวิตครอบครัวด้วย”

โดย นายทสร บุณยเนตร ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับแคมเปญ ‘งานบ้านไม่เลือกเพศ ความเท่าเทียม เริ่มได้ในครอบครัว ว่า ตนเกิดมาจากครอบครัวขนาดกลาง ตั้งแต่เล็กจนโตที่บ้านจะสอนให้ช่วยทำงานบ้าน

ซึ่งการทำงานบ้าน ได้เริ่มจากที่อยากช่วยแม่ เพราะเห็นแม่ทำงานกลับบ้านมาเหนื่อย และมองว่างานบ้านเป็นงานของทุกคน ซึ่งปัจจุบันตนแต่งงานกับภรรยามา 7 ปี มีลูก 2 คน แล้ว แม้ว่าที่บ้านจะมีคนทำความสะอาด แต่ตนกับภรรยาก็ยังทำงานบ้านกันเองอยู่ตลอด อีกทั้งยังฝึกให้ลูก ๆ เรียนรู้ช่วยทำงานบ้านด้วย

“หมอเวชศาสตร์ครอบครัว” แนะใช้ 4 เทคนิคการสื่อสารโดยไม่ใช้ความรุนแรง
พร้อมชวนพ่อแม่ฝึกลูกทำงานบ้านตั้งแต่เล็ก

งานบ้านเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้คู่รักหรือคู่สามีภรรยาหลายคู่เกิดความไม่เข้าใจกัน เพราะด้วยวิธีการสื่อสาร ซึ่งการสื่อสารที่ดีจะต้องไม่ใช้ความรุนแรง ดังนั้นการใช้การสื่อสารอย่างซื่อสัตย์ ชัดเจน และเคารพซึ่งกันและกัน จะช่วยลดความขัดแย้ง ลดการปะทะ และสร้างความเข้าใจที่ลึกขึ้นได้

โดย พญ.นาตาชา ชวาลา แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ได้แนะนำเทคนิค Nonviolent Communication (NVC) หรือการสื่อสารโดยไม่ใช้ความรุนแรง ว่ามีด้วยกัน 4 ข้อ คือ 1. สังเกตโดยไม่ตัดสิน ซึ่งเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ใส่ความคิดเห็นหรือการตัดสินส่วนตัวเข้าไป 2. ระบุความรู้สึกของเราต่อสถานการณ์นั้นโดยไม่ใช้อารมณ์ 3. ระบุความต้องการ โดยบอกความต้องการของเราอย่างตรงไปตรงมา 4. การขอร้องอย่างชัดเจน เป็นคำพูดเชิงบวก และทำได้จริง ทั้งนี้ เมื่อนำมาใช้กับการทำงานบ้าน จะกลายเป็นโอกาสสร้างความเท่าเทียม ความร่วมมือ และความใกล้ชิดมากขึ้น

นอกจากนี้ พญ.นาตาชา อยากให้พ่อแม่ปลูกฝังลูกให้ทำงานบ้านตั้งแต่ยังเล็ก เพราะมองว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้เด็กได้เห็นถึงความเท่าเทียม เคารพสิทธิผู้อื่น และห่างไกลจากความสัมพันธ์ที่รุนแรง

พญ.นาตาชา ชวาลา แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
“การสอนลูกให้ทำงานบ้านตั้งแต่ยังเล็ก เปรียบเสมือนของขวัญที่เรามอบให้กับลูก เพราะประโยชน์เยอะมาก ๆ สามารถสร้าง ทักษะสมอง EF (Executive Functions) ในเด็ก ทำให้เขามีสมาธิมากขึ้น จัดการงาน จัดการระเบียบของตัวเองได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นใจและความรับผิดชอบของเด็ก การที่เขาได้ลงมือทำและเห็นผลลัพธ์ เขาจะเห็นว่าเขาทำได้ เขามีคุณค่า มีส่วนร่วมกับคนในครอบครัว และเป็นการฝึกทักษะชีวิตที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ๆ มีงานวิจัยบอกว่าเด็กที่ทำงานบ้านตั้งแต่ยังไม่ 3 ขวบ จะประสบความสำเร็จทางด้าน IQ เพราะงานบ้านเพิ่มทั้งวินัย ความรับผิดชอบ และทักษะการจัดการชีวิต แถมเด็กยังมีสุขภาพจิตที่ดีกว่าด้วย”

“เด็กจะเห็นบทเรียนเรื่องความเท่าเทียมครั้งแรกในชีวิตจากในบ้าน จากบทบาทที่คุณพ่อคุณแม่มี ซึ่งหากเด็กได้เห็นความเท่าเทียมในบ้าน เขาจะมีไอเดียเรื่องความเท่าเทียม เคารพสิทธิผู้อื่น และห่างไกลจากความสัมพันธ์ที่รุนแรง หมอมองว่าแบบอย่างที่ดี ต้องเริ่มมาจากครอบครัว”

นางสาวรุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
“สสส. มาร่วม เป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์แคมเปญ “งานบ้านไม่เลือกเพศ ความเท่าเทียมเริ่มได้ที่ครอบครัว” เรายกเรื่องงานบ้าน มาเป็นตัวอย่างง่าย ๆ เพราะงานบ้านถือเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม เป็นสิ่งที่มองว่าสื่อสารกันง่าย ที่จะบอกว่ามันไม่ใช่งานของผู้หญิง ผู้ชายก็สามารถช่วยทำได้ ทุกคนในครอบครัวช่วยกันดูแลรับผิดชอบได้ ซึ่งการจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อสร้างความเสมอภาคกัน เป็นฐานสำคัญที่จะนำไปสู่การเคารพกันทั้งในมิติภายในครอบครัวและสังคม และยุติปัญหาความรุนแรงในครอบครัวได้”

“ท้ายนี้อยากแนะนำให้หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความรุนแรงได้ ซึ่งถ้าเราเอาเวลาที่เสียไปจากวงเหล้า เปลี่ยนมาทำงานบ้าน รับผิดชอบครอบครัว ก็จะช่วยยุติปัญหาความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงสังคมได้” ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม












กำลังโหลดความคิดเห็น