หมอชี้ "โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง" คร่าชีวิตคนไทยอันดับ 3 ตาย 2 หมื่นคนต่อปี เฉลี่ยวันละ 50 คน ผู้ป่วยกว่า 1.5 ล้านคนไม่รู้ว่าป่วย ห่วงอาการกำเริบ 1 ครั้ง เพิ่มเสี่ยงโรคหัวใจ 3 เท่า ครึ่งหนึ่งเสียชีวิตใน 3.6 ปี ภาคีสาธารณสุขเร่งรณรงค์หยุด ‘ความตายเงียบ’ ในวันปอดอุดกั้นเรื้อรังโลก ย้ำหายใจติดขัดนึกถึงโรค COPD
เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2568 ที่ลาน Skywalk สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี มูลนิธิโรคหืดแห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทยฯ และแอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายพันธมิตร ได้แก่ กรมควบคุมโรค, กรมการแพทย์, สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร, สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย และสถานเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย สมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ, มูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง, ชมรมลมวิเศษ, กลุ่มเซ็นทรัล, เจนเนอราลี่ประกันชีวิต และ เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ จัดงานรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ครั้งใหญ่ ภายใต้หัวข้อ “ทุกลมหายใจมีค่า หยุดความตายเงียบ จากโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง" เนื่องในวันปอดอุดกั้นเรื้อรังโลก (World COPD Day) ประจำปี 2568 เพื่อสร้างความตระหนักรู้และเน้นย้ำความสำคัญของการป้องกันและดูแลสุขภาพปอด จากภัยคุกคามของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
ผศ.นพ.อภิชาติ คณิตทรัพย์ กรรมการมูลนิธิโรคหืดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือ Chronic Obstructive Pulmonary Disease (COPD) เป็นโรคปอดชนิดหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยมีภาวะไอ หอบ เหนื่อยง่าย หายใจไม่สะดวก จัดเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้และส่งผลกระทบต่อสุขภาพชีวิตของผู้ป่วย ถือเป็น "ความตายเงียบ" และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของไทย คร่าชีวิตคนไทยกว่า 20,000 คนต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 50 คน ซึ่งสูงกว่าโรคหลอดเลือดสมอง, โรคมะเร็งเต้านม, เบาหวาน หรืออุบัติเหตุบนท้องถนน
"แม้จะมีผู้ป่วยในประเทศมากกว่า 3 ล้านคน แต่ที่น่าห่วงคือครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยโรคนี้ไม่รู้ว่าตนเองป่วย เนื่องจากเข้าใจผิดว่า อาการเหนื่อยง่าย หอบ หรือหายใจติดขัด เป็นเพียงเรื่องของวัยหรืออาจเคยชินกับอาการที่เป็นมาอย่างยาวนาน โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จึงเปรียบเสมือนภัยเงียบที่ใกล้กว่าที่คิด ซึ่งกำลังพรากชีวิตคนไทยไปอย่างต่อเนื่อง การจัดงานครั้งนี้จึงย้ำเตือนว่า การรู้เท่าทันโรคและการเข้าถึงการตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ คือ กุญแจสำคัญ ที่จะช่วยปกป้องลมหายใจของทั้งผู้ป่วย และคนรอบข้าง” ผศ.นพ.อภิชาติกล่าว
ผศ.(พิเศษ) พญ.ณับผลิกา กองพลพรหม กรรมการฝ่ายวิชาการ สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า เมื่อผู้ป่วย COPD มีอาการกำเริบเพียง 1 ครั้ง ย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพในระยะยาว กระทบทั้งปอด ทั้งหัวใจ และทั้งชีวิต โดยเฉลี่ยแล้ว ในแต่ละปีผู้ป่วยชาวไทยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ด้วยอาการกำเริบมากกว่า 1 ล้านคน ด้วยค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงถึง 80,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งที่อาการกำเริบนั้น จะทำให้การทำงานของปอดลดลง และที่น่าตกใจคือ อาการกำเริบแต่ละครั้งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดขึ้นประมาณ 3 เท่า เนื่องจาก COPD เป็นการอุดกั้นเรื้อรังของตัวปอด หลอดลมตีบ สาเหตุเกิดจากสูบบุหรี่ สิ่งกระตุ้นต่างๆ หมอกควัน ทำให้เกิดการอักเสบที่หลอดลม รวมถึงอวัยวะอื่นๆ คนเป็น COPD จึงเสี่ยงโรคหัวใจกำเริบมากขึ้นเพราะอักเสบร่วมกัน ถึงหยุดสูบบุหรี่ไปแล้วแต่การอักเสบยังคงอยู่และส่งผลต่ออวัยวะอื่นๆ ด้วย และยิ่งกว่านั้นราวครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยจะเสียชีวิตภายใน 3.6 ปี หลังอาการกำเริบครั้งแรก
"สถิติเหล่านี้คือเหตุผลสำคัญที่ทุกคนต้องตระหนักว่า "แค่เพียงหายใจที่เต็มปอดได้เต็มพลัง คือสิ่งมีค่าที่สุด ที่ไม่ควรถูกมองข้าม" โดยอาการสำคัญของการกำเริบจะมาด้วยอาการเหนื่อยมากขึ้น เสมหะมากขึ้น หายใจไม่ได้หรือติดขัด บางคนมีอาการไข้ร่วมด้วย โดยคนที่ไม่เคยทราบว่าป่วยมาก่อน จะมาด้วยอาการเหนื่อย แน่นหน้าอกหายใจไม่ออกไม่ไหว มา รพ. ส่วนที่มีอาการอยู่แล้วจะใช้ยาสูดปริมาณเพิ่มสูงขึ้น พ่นแล้วไม่ดีขึ้นเลยมา รพ." ผศ.(พิเศษ) พญ.ณับผลิกา
ผศ.(พิเศษ) พญ.ณับผลิกากล่าวว่า ปัจจัที่ทำให้อาการยกำเริบ คือยังไปเจอสิ่งกระตุ้นอักเสบ สูบบุหรี่ เจอ PM2.5 ควันไฟ ติดเชื้อแทรกซ้อน ไข้หวัด ไข้หวัดธรรมดากระตุ้นอักเสบ หลอดลมตีบหายใจไม่ได้แล้วเข้า รพ. ซึ่งเมื่อมาแผนกฉุกเฉินก็จะมีการประเมินอากาารหอบเหนื่อยก่อน หายใจเองได้ไหม ออกซิเจนต่ำไหม และให้ออกซิเจนกรณีออกซิเจนต่ำ หาภาวะกระตุ้นที่ทำให้อาการกำเริบมากขึ้น เช่น ติดเชื้อให้ยารักษาการติดเชื้อร่วมด้วย อาการรุนแรงหายใจล้มเหลว ก็ใส่ท่อช่วยหายใจเครื่องช่วยหายใจ
"ปัจจุบันมียาสูดพ่นค่อนข้างดี เป็นยาหลักรักษา COPD หากได้รับการตรวจประเมิน รับยา จะลดการอักเสบ ลดการกำเริบชะลอการตายได้ ควรใช้ยาทุกวันเพื่อให้ปอดไม่ถูกทำลายมากขึ้น โดยช่วงเริ่มปรับยาอาการกำเริบมาพบแพทย์ทุก 1 เดือน อาการคงที่มาทุก 3 เดือน" ผศ.(พิเศษ) พญ.ณับผลิกา
ผศ.(พิเศษ) พญ.ณับผลิกากล่าวว่า สำหรับระบบสาธารณสุขที่จะดูระยะยาวผู้ป่วยกลุ่มนี้ มีประเด็นเรื่องความตระหนักรู้ ต้องทำไพรมารีแคร์พรีเวนชัน ให้ความรู้ประชาชนทราบตัวโรค ส่วนที่ขาดแคลนคือการต้องตรวจสมรรถภาพปอด ยังทำได้บาง รพ. คือ รพ.ใหญ่ๆ หากขยายไป รพ.ชุมชนหรือ รพ.สต.ก็จะช่วยคนไข้ได้มาก อีกเรื่องคือต้องมีบุคลารกใช้เป็นด้วย หากรัฐบาลสนับสนุนก็จะช่วยให้มีเครื่องตรวจทุกที่ ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาดีขึ้นเข้าถึงยาดีขึ้น นอกจากนี้ งบประมาณการสนับสนุน COPD คลินิกมีอยู่แล้ว แต่อยากให้เพิ่มขึ้นคือ ยาแต่ละชนิดทุกสิทธิใช้ได้เหมือนกัน บางตัวยาใหม่ประสิทธิภาพดี แต่บางสิทธิเข้าถึงไม่ได้ โดยเบิกได้ในข้าราชการและประกันสังคม แต่สิทธิ 30 บาทจะขึ้นกับยา ซึ่งช่วง 1-2 ปีนี้มีการเบิกจ่ายหลายตัวเพิ่มมากขึ้น เพราะมียาใหม่ๆ เพิ่มสูงขึ้น ถ้าได้ทุกตัวที่จำเป็นก็จะดีมากขึ้น
โรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า วันที่ 19 พฤศจิกายนของทุกปี คือวัน COPD โลก โดยปีนี้มีคำขวัญว่า “หายใจติดขัด คิดถึง COPD” สะท้อนถึงความจำเป็นในการสร้างตระหนักรู้ถึงโรคนี้ให้มากขึ้นทั่วโลก โรค COPD เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของโลก โดยมีสาเหตุหลักจากการสูบบุหรี่ ควันจากบุหรี่ไฟฟ้า ฝุ่น PM 2.5 และมลพิษทางอากาศ แต่กลับถูกละเลย ทั้งในด้านการจัดสรรงบประมาณ การวินิจฉัย และการรักษาอย่างเหมาะสม ผู้ป่วย COPD ยังมีความเสี่ยงสูงต่อโรคอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย
"แอสตร้าเซนเนก้าเชื่อว่า “ทุกลมหายใจมีความหมาย” บริษัทจึงมุ่งมั่นทำงาน ร่วมกับ ผู้นำด้านสาธารณสุข และภาคีเครือข่ายทั้งหมด เพื่อลดภาระของโรค COPD ต่อผู้คนและสังคม โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักรู้ ส่งเสริมการวินิจฉัย ตั้งแต่ ระยะเริ่มต้นและขยายโอกาสให้ผู้ป่วยเข้าถึงนวัตกรรมการรักษาที่ทันสมัยอย่างเท่าเทียม แอสตร้าเซนเนก้า ขอบคุณพันธมิตรภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่ได้มาร่วมแสดงพลังในวันนี้ เพราะการลดภาระของโรค COPD ต่อผู้คนและสังคม จำเป็นต้องอาศัยการให้ความรู้ ความร่วมมือ และการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ร่วมกัน” โรมันกล่าว
ทั้งนี้ ภายในงาน WORLD COPD DAY 2025 ยังมีกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพปอด, การเสวนาจาก ผู้เชี่ยวชาญ และเกมส์ตอบคำถามสุขภาพ และมีคณะผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ระดับแนวหน้าและผู้ทรงคุณวุฒิให้เกียรติเข้าร่วมงาน อาทิ นายเบน มอร์ลี่ย์ ที่ปรึกษาและผู้อำนวยการแผนกธุรกิจและการค้า สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย, นพ. อภิญญา นิรมิตสันติพงษ์ ผุ้อำนวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง และ นพ.เพชรพงษ์ กําจรกิจการ รองผู้อำนวยการ สำนัการแพทย์ โดยมี คุณเจี๊ยบ ลลนา ก้องธรนินทร์ เป็นผู้ดำเนินรายการตลอดงาน
ด้าน พญ.ลลลนา ก้องธรนินทร์ หรือหมอเจี๊ยบ กล่าวว่า อันดับแรกต้องตระหนักรู้ก่อนว่าเป็นโรค COPD ถ้าไม่รู้ก็จะไม่ได้รับการรักษา พอรู้แล้วต้องมีวินัยไปหาหมอสม่ำเสมอในการรักษา ซึ่งปัจจุบันหมอฉุกเฉินเจอ COPD มาหาเยอะเหมือนร้านสะดกวกซื้อ ไม่ไปเจอหมอโรคปอด พอเหนื่อยก็มาห้องฉุกเฉินพ่นยา พอหายเหนื่อยกลับไปแล้ว แล้วจะถึงจุดที่ว่าอาการแย่ลงเรื่อยๆ ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ บางคนเสียชีวิตเพราะไม่รู้การรักษาที่ถูกต้อง ดังนั้นไม่ใช่แค่มาพ่นยาห้องฉุกเฉินแล้วกลับบ้านหายดีแล้ว ต้องรักษาต่อเนื่องรับการดูแลต่อเนื่อง เราอาจไม่ตระหนักถึงว่าเป็นโรคธรรมดาไม่น่าตาย แต่เจอ COPD ที่กำเริบขึ้นมาเยอะมาก เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของชาวไทยและทั่วโลก
"แต่ละเวรที่เจอเยอะๆ คือจะมาพ่นยาเป้นประจำ ทั้งหอบหืด COPD จะเจอเยอะ ความหนักจะเป็นคนไข้ประจำเพราะไม่รู้วิธีรักษาที่ถูกต้อง หรือรู้ว่าต้องดูแลตนเองดีๆ อาจยังไม่มีความรู้เรื่องนี้ คุมอาการไม่ดี ก็มาเจอห้องฉุกเฉิน อาการแย่ลงเราไม่สามารถพ่นยาธรรมดาให้หายได้แล้ว ต้องช่วยเมื่อหายใจไม่ไหว ก็ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ซึ่งอัตราเสียชีวิตก็จะสูงขึ้น เมื่อเจอตัวกระตุ้นเกิดโรคง่ายขึ้น อากาศไม่ดี PM2.5 คนไข้มาช่วงนี้ ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ก็ทำอาการกำเริบได้" พญ.ลลนากล่าว


