xs
xsm
sm
md
lg

โรค NCDs วิกฤติสุขภาพแบบไม่รอวัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หวานเกิน เค็มเกิน มันเกิน สายดื่ม สายดริ๊งก์ เครียดสูง ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมเสี่ยงที่หลายคนมองข้าม แต่จริง ๆ แล้วเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อการเกิด โรคไม่ติดต่อ (Noncommunicable diseases) อย่างโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูงที่กำลังเพิ่มมากขึ้นในสังคมไทย

โดยวิกฤติสุขภาพของคนไทยถูกสะท้อนผ่าน ผลสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย (National Health Examination Survey : NHES) ของ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายในงานแถลงผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 พ.ศ. 2567-2568 ในหัวข้อ “สถานการณ์โรค NCDs ของไทย แนวโน้มและข้อเสนอเชิงนโยบาย”

ผลการสำรวจล่าสุดชี้ให้เห็นตัวเลขที่น่าตกใจว่า คนไทยกำลังป่วยด้วยโรคในกลุ่ม NCDs มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ที่อยู่ในภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนกว่า 27.4 ล้านคน ขณะที่ผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงรวมกันเกือบ 20 ล้านคน และอีกกว่า 5.7 ล้านคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน  

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส.
“ข้อมูลสุขภาพ” พลังขับเคลื่อนนโยบายยุคใหม่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ “ข้อมูลสุขภาพ” จึงไม่ใช่เพียงตัวเลขในรายงาน แต่คือ พลังสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพยุคใหม่

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส.
เริ่มต้นด้วยภาพรวมสถานการณ์โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ในปัจจุบันว่า NCDs มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทั้งในสัดส่วนผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมถึงภาวะอ้วนและอ้วนลงพุง โดยสะท้อนถึงพฤติกรรมเสี่ยงด้านการบริโภคอาหารที่เกิน เช่น การบริโภคหวาน มัน และเค็มเกินความเหมาะสม
ขณะเดียวกันข้อมูลยังแสดงให้เห็นความแตกต่างของความรุนแรงในแต่ละพื้นที่ เช่น เบาหวานพบสูงในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และในภาคอีสานสูงกว่าภาคอื่น ๆ ในด้านพฤติกรรมเสี่ยง ภาคเหนือมีแนวโน้มดื่มสุราหนักและขับรถหลังดื่มมากกว่าภาคอื่น ภาคใต้มีอัตราการสูบบุหรี่สูง ภาคกลางมีภาวะอ้วนลงพุงและไขมันในเลือดสูงมากที่สุด

ในส่วนบทบาทของ สสส. นพ.พงศ์เทพ กล่าวว่า ข้อมูลสุขภาพประชาชนเป็นรากฐานสำคัญของการวางนโยบายและยุทธศาสตร์การสร้างเสริมสุขภาพของประเทศ สสส. เห็นความสำคัญของการสำรวจสุขภาพ โดยได้สนับสนุนการสำรวจนี้ตั้งแต่ครั้งที่ 4 เป็นต้นมา ปัจจุบัน สสส. ได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานโดย “ขับเคลื่อนนโยบายด้วยข้อมูล” (Data-Driven Policy) ทั้งในระดับประเทศและระดับพื้นที่ โดยเฉพาะในยุคที่ปัจจัยกำหนดสุขภาพของคนไทยมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ข้อมูลจึงเป็นเครื่องมือหลักในการกำหนดยุทธศาสตร์ จุดเน้น และตัวชี้วัดความสำเร็จของการสร้างเสริมสุขภาพ รวมถึงใช้ติดตามผลการทำงานสร้างเสริมสุขภาพของประชาชน ข้อมูลจากการสำรวจยังถูกนำไปใช้กำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดหลักของ สสส. ระยะ 10 ปี ทั้งในด้านการลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาวะ และการยกระดับสมรรถนะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถดำเนินงานสุขภาพด้วยตนเองได้ 


ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวเพิ่มเติมว่า การสำรวจสุขภาพนี้เป็นข้อมูลระดับชาติหนึ่งเดียวในไทยที่มีการตรวจเลือดและเก็บตัวอย่างทางชีวภาพ เพื่อวิเคราะห์สถานะสุขภาพ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือด ไต การทำงานของตับ สสส. ได้นำข้อมูลจากมาวิเคราะห์ร่วมกับฐานข้อมูลสุขภาพอื่น ๆ ของประเทศ เช่น ข้อมูลการป่วยและการเสียชีวิต เพื่อนำไปพัฒนาดัชนีภาระโรค (Burden of Diseases) และคะแนนสุขภาพประชาชน (Health Score) สะท้อนสถานะสุขภาพของประชาชนไทย ทั้งโรคไม่ติดต่อ (NCDs) พฤติกรรมสุขภาพ และความเสี่ยงเชิงสิ่งแวดล้อม เช่น การวิเคราะห์พบว่า ผู้ที่ดื่มสุราระดับเสี่ยงมีค่าเอนไซม์ตับสูงกว่าคนทั่วไป 3-5 เท่า สะท้อนความเสี่ยงต่อโรคตับแข็งและมะเร็งตับอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ สสส. สามารถกำหนดกลยุทธ์การรณรงค์ลดการดื่มสุราได้ตรงจุดมากขึ้น เป็นพลังสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาพยุคใหม่ เพราะจะทำให้มองเห็นปัญหาเชิงพื้นที่ได้แม่นยำขึ้น ติดตามผลได้ชัดเจนขึ้น และออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์ประชาชนได้จริง

“การที่เรามีข้อมูลสถานการณ์สุขภาพ ทั้งพฤติกรรมเสี่ยง การตรวจเลือด เมื่อเอาไปประกอบกับเรื่องการเสียชีวิต โดยเฉพาะการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ทำให้เห็นเลยว่า ข้อมูลเป็นการต่อจิ๊กซอว์กัน และฐานข้อมูลทั้งหมดนี้จำเป็นต้องส่งต่อให้กับสังคม และชุมชนให้รับรู้ในแต่ละภาค ในแต่ละพื้นที่ เพื่อนำไปใช้ในการขับเคลื่อนตั้งแต่ระดับบุคคลเอง”

ปรับพฤติกรรม ลดโรคเรื้อรัง

นพ.พงศ์เทพ ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากระบบบริโภคนิยม ทุนนิยม และการตลาดที่ทำให้ผู้คนบริโภคอาหารหวาน มัน เค็มมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจึงต้องเกิดจากทั้งตัวบุคคลและสังคม ทั้งการรับรู้ข้อมูล ปรับพฤติกรรม และสร้างค่านิยมใหม่ พร้อมเน้นว่า การสร้าง กระแสสังคมเชิงบวก เป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลง

“เราต้องกลับมาดูแลตนเอง เวลาที่ออกกำลังกาย ไปกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพก็โพสต์ลงโซเชียลมีเดีย แต่ถ้าไปกินอาหารหวาน มัน เค็ม ก็อย่าไปประชาสัมพันธ์ให้คนรับรู้มากขึ้น เมื่อกระแสสังคมหันมาสื่อสารเชิงบวกมากขึ้น ก็จะช่วยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของทุกคนในสังคมได้ ขณะนี้เราอยู่ในสังคมสูงวัยและเด็กเกิดน้อย วัยทำงานและเด็กจะต้องรับภาระในการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ และถ้าผู้สูงอายุมีโรค NCDs มากขึ้น ก็ทำให้เกิดความพิการและเป็นภาระต่อคนวัยทำงานและลูกหลานมากขึ้น รวมถึงงบประมาณในการดูแลรักษาที่เพิ่มสูงขึ้น สภาพเศรษฐกิจอาจจะไม่สามารถรองรับการรักษาพยาบาลและภาระที่มากขึ้นได้ ซึ่งสังคมต้องกลับมาทบทวนเพื่อบริหารจัดการ รวมทั้งสร้างกระแสใหม่ ๆ ในการดูแลสุขภาพ”

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)
ทำไมต้องมีการสำรวจสุขภาพ

เมื่อถามว่า ทำไมต้องมีการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) อธิบาย การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2534 ซึ่งเป็นข้อมูลด้านสุขภาพที่สำคัญต่อการดำเนินนโยบายด้านสาธารณสุขของประเทศไทย เนื่องจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขยังมีข้อจำกัดเฉพาะกลุ่มคนที่ป่วยแล้วและมารับการรักษาที่สถานบริการ การสำรวจสุขภาพฯ ช่วยทำให้มองเห็นภาพรวมสถานการณ์สุขภาพของประเทศชัดเจนขึ้น สวรส. จึงให้ความสำคัญและสนับสนุนการสำรวจสุขภาพฯ มาโดยตลอด

ผลสำรวจสุขภาพฯ ครั้งที่ 7 พบว่า มีคนป่วยเบาหวานแต่ไม่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวานถึง 27% หรือ 1.6 ล้านคน และคนป่วยความดันโลหิตสูงที่ไม่รู้ตัวสูงถึง 48% หรือ 8.4 ล้านคน สะท้อนให้เห็นว่า ระบบสุขภาพของไทยยังมีช่องว่างที่ต้องพัฒนาเพื่อเพิ่มการเข้าถึงและครอบคลุม

“ถ้าไม่สู้เรื่องนี้อย่างจริงจัง อนาคตระบบสุขภาพ ระบบประกันสุขภาพของเราที่ว่าแน่ ต้องมีคนฟอกไตกันทั้งบ้านทั้งเมืองแน่นอน เพราะถ้ามันไม่ลดลง ประเทศจะเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาเรื่องพวกนี้มากขึ้น ในขณะเดียวกัน การสำรวจสุขภาพก็ยังเป็นประโยชน์สำหรับผู้กำหนดนโยบายว่า ต่อไปควรจะทำอย่างไรและมากน้อยแค่ไหน เพื่อนำไปสู่การหาทางแก้ปัญหาให้แม่นยำมากที่สุด” 


“การลงทุนในการสำรวจครั้งนี้ถึงจะใช้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก แต่ก็เป็นเรื่องที่คุ้มค่า และเราทำสืบเนื่องกันต่อทุก ๆ 5 ปี ทำให้เห็นแนวโน้มว่า ดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นอย่างไร ซึ่งมีไม่กี่ประเทศที่ลงทุนทำเรื่องพวกนี้ ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เรา ในฐานะเป็นผู้รับผิดชอบสุขภาพของผู้คนได้หาแนวทางที่ดี ถ้าแบบแรกไม่ได้ผล ก็ต้องหาอีกแบบหนึ่งมาทำ

“อย่างไรก็ดี สิ่งที่เราพยายามพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จากการตรวจทุก ๆ 5 ปี นอกจากมาตรฐานการตรวจที่มีเครื่องมือตรวจที่ดีขึ้น ประเด็นการตรวจก็เพิ่มขึ้นด้วย ยกตัวอย่างในปีนี้ เราตรวจเกลือที่ออกทางปัสสาวะเพราะถ้าจะยับ คงนับไม่ได้ว่า ใครกินเท่าไหร่ แต่ถ้าตรวจแบบนี้เรารู้เลยว่า คุณกินเกลือเท่าไหร่ ซึ่งเห็นชัด ๆ ว่า ขณะนี้คนไทยกินเกลือเกินกว่าที่ร่างกายต้องการประมาณ 2 เท่า และนำไปสู่โรคไตถามหาในอนาคต ความดันโลหิตสูง หัวใจก็จะตามมา เพราะฉะนั้นถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุ ท้ายที่สุดก็อาจจะรับมือกับเรื่องพวกนี้ไม่ได้” นพ.ศุภกิจ กล่าว

ศ.นพ.วิชัย เอกพลากร ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
เปิดภาพใหญ่ NCDs ไทย
ป่วยมากขึ้น เร็วขึ้น


ศ.นพ.วิชัย เอกพลากร ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยว่า สถานการณ์โรค NCDs ของคนไทยในรอบ 20 ปี หรือตั้งแต่ปี 2547-2568 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ไทยไม่บรรลุเป้าหมายของ WHO ที่กำหนดให้ในปี 2568 โดยไทยต้องลดโรคความดันโลหิตลงให้เหลือไม่เกิน 17% เบาหวานไม่เกิน 7.3% และโรคอ้วนไม่เกิน 36.2%

โดยผลสำรวจสุขภาพฯ ครั้งที่ 7 พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเบาหวาน 10.6% หรือ 6.1 ล้านคน ป่วยโรคความดันโลหิตสูง 29.5% หรือ 17.5 ล้านคน และมีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน 45% หรือ 27.4 ล้านคน ที่น่าเป็นห่วงคือมีคนที่เสี่ยงเป็นเบาหวานในอนาคตถึง 5.7 ล้านคน แม้ว่าคนป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 13.8% เมื่อปี 2547 เพิ่มเป็น 28.6% ในการสำรวจฯ ครั้งนี้ แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ WHO แนะนำ ต้องอยู่ที่ 80%

เพราะ NCDs ไม่ใช่แค่โรคของคนแก่


ขณะที่ข้อมูลอีกส่วนหนึ่ง รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และหัวหน้าโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 เผยว่า ผลสำรวจสุขภาพฯ ครั้งที่ 7 พบว่า คนที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา อ้วน หรือกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ จะมีแนวโน้มป่วยโรค NCDs เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนโดยเฉพาะกลุ่มวัยต่ำกว่า 40 ปี อย่างกรณีโรคเบาหวานที่มักไม่ค่อยพบในคนอายุน้อย ในกลุ่มอายุ 15-34 ปี หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงใด ๆ เลยจะป่วยเบาหวานเพียง 0.3% แต่หากสูบบุหรี่ อ้วน มีไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูง จะเสี่ยงเป็นเบาหวานสูงถึง 45.2%

และที่น่ากังวลคือ พฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ทั้งสูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือมีกิจกรรมทางกายต่ำ พบว่า ในกลุ่มคนอายุน้อยมีแนวโน้มเสี่ยงเพิ่มขึ้นสูงกว่าในกลุ่มผู้สูงอายุ เช่น อัตราการสูบบุหรี่ในกลุ่มอายุ 15-34 ปี เพิ่มสูงขึ้น แต่ในผู้สูงอายุพบว่า มีแนวโน้มการสูบบุหรี่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าที่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มเยาวชน โดยพบว่า 70% ของคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าในไทยอายุต่ำกว่า 30 ปี

รศ.พญ.เริงฤดี ระบุว่า นโยบายปัจจุบันของกระทรวงสาธารณสุขมุ่งคัดกรอง NCDs ในกลุ่มอายุ 35 ปีขึ้นไป ดังนั้น จากข้อมูลที่รวบรวมพบสัญญาณเตือนสำคัญว่า แนวโน้มผู้ป่วยอายุน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลเหล่านี้จึงกลายเป็นส่วนสำคัญเพื่อให้กระทรวงสาธารณสุข พิจารณาการปรับเกณฑ์อายุการตรวจคัดกรองจาก 35 ปี ลงมาเหลือ 30 ปี

นอกจากนี้ การเข้าถึงการคัดกรองของกลุ่มวัยทำงาน อายุ 35–44 ปี ก็ยังถือว่า ต่ำกว่ากลุ่มอื่น ๆ ซึ่งต้องพัฒนากันต่อไป 

รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และหัวหน้าโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7
อีกหนึ่งความท้าทายที่ รศ.พญ.เริงฤดี กล่าวทิ้งท้ายด้วยความกังวล คือพฤติกรรมเสี่ยงในกลุ่มวัยรุ่นยุคใหม่ ทั้งการสูบบุหรี่ไฟฟ้า การดื่มสุรา และกิจกรรมทางกายที่ไม่เพียงพอ

“พฤติกรรมเสี่ยงบุหรี่ไฟฟ้าก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ รวมทั้งวิธีชีวิตต่าง ๆ ของวัยรุ่น ซึ่งถ้าดูตามข้อมูลจะเห็นว่า พฤติกรรมเสี่ยงใน Gen Z และ Gen Y สูงกว่า Gen X และ Baby Boomer แต่ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นเรื่องของ Generation หรือความคิดและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปเลยทำให้การใช้ชีวิต หรือเรื่องของสารเสพติด สุรา ยาสูบ เขามองว่า เป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น ซึ่งเป็นค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมทางกายที่น้อยลงเพราะใช้เวลาอยู่กับเทคโนโลยีและไอทีมากขึ้น พฤติกรรมเหล่านี้กำลังกลายเป็น ค่านิยมใหม่ ที่แท้จริงแล้วเป็นภัยเงียบต่อสุขภาพในระยะยาว”

ทั้งนี้ สามารติดตามผลสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย (National Health Examination Survey : NHES) เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.thai-nhes.com/




กำลังโหลดความคิดเห็น