xs
xsm
sm
md
lg

สสส. ผนึกกำลังทุกภาคส่วน เดินหน้าขับเคลื่อน CBTx แก้ปัญหายาเสพติดแบบบูรณาการทั่วประเทศ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ยาเสพติด เรียกได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ เป็นโจทย์ที่ท้าทายแถมแก้ยากมาหลายยุคหลายสมัย ซึ่งมีข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข (ที่มา : จากระบบ ฐานข้อมูล บสต. ปีงบประมาณ 2567) ระบุไว้ว่า ในปี พ.ศ.2567 มีจำนวนผู้เข้ารับการบำบัดรักษาและฟื้นฟู ผู้ติดยาเสพติด (บสต.) ทั่วประเทศ คัดกรองได้เป็นจำนวน 196,895 ราย แยกเป็นแบบบำบัดรักษา 189,427 ราย แบบรักษาต่อ 9,747 ราย และแบบติดตาม 165,824 ราย

ทั้งนี้หากอยากเห็นผลเป็นที่ประจักษ์ ต้องเกิดจากความร่วมมือกันจากทุกภาคฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม รวมถึงภาคประชาชน เพราะการเสพยาเพียงคนเดียว ไม่เพียงแต่จะสร้างความเสียหายเฉพาะตัวบุคคล แต่ยังลามไปถึงครอบครัว สังคม หรืประเทศชาติตามมาได้

ด้วยเหตุนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ร่วมกับมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ จัดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาศักยภาพพลังอำเภอสู่การเป็นอำเภอต้นแบบและอำเภอขยายผลในการขับเคลื่อนชุมชนล้อมรักษ์ (CBTx) และแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน เพื่อร่วมหาแนวทางในการแก้ปัญหายาเสพติดผ่านกลไกของชุมชน ตลอดจนการถอดบทเรียน และส่งต่อความสำเร็จโดยชุมชนต้นแบบ

“สสส. จับมือภาคี เปิดเวที CBTx ภาคกลาง
ปลุก “พลังอำเภอ” ขับเคลื่อนชุมชนต้นแบบต้านยาเสพติด

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้กล่าวถึง การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการฯ เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน โดยใช้กระบวนการ CBTx ขับเคลื่อนการทำงานเชื่อมกลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) และเครือข่ายชุมชนเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยชุมชนเป็นฐานว่ามีเป้าหมายสำคัญ คือ
1. พัฒนาอำเภอให้เป็นต้นแบบดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดระดับพื้นที่
2. พัฒนารูปแบบการขยายผลการดำเนินงานไปยังพื้นที่อื่น ๆ เพื่อนำไปสู่การสร้างเครือข่ายการบำบัดรักษาผู้ป่วย บำบัดฟื้นฟูในชุมชน
3. ค้นหารูปแบบการฟื้นฟูหรือบำบัดผู้ป่วยในชุมชน และเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรและเครือข่ายในพื้นที่ให้สามารถใช้กระบวนการ CBTx ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. พัฒนากลไกการสื่อสารและขับเคลื่อนงานไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้แนวทางการบำบัดรักษาผู้ป่วยยาเสพติดในชุมชนเป็นมาตรฐานเดียวกัน

“สสส. ขับเคลื่อนการป้องกันปัญหายาเสพติดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ปัญหายาเสพติด ถือว่าเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อบุคคล ครอบครัว ชุมชน และสังคมอย่างลึกซึ้ง โดย สสส.ได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาพเพื่อลดผลกระทบจากปัญหาสารเสพติด เพื่อคืนคุณภาพชีวิตให้แก่สังคม ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนมูลนิธิ สนับสนุนสถาบันวิจัย การพัฒนาการเรียนรู้ การขับเคลื่อนเสริมพลังเชื่อมกลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับอำเภอ (พชอ.) ชุมชนล้อมรักษ์ CBTx เป็นต้น”

“การแก้ปัญหายาเสพติดจำเป็นต้องอาศัยกระบวนการการทำงานแบบบูรณาการ การมีส่วนร่วมและยึดพื้นที่เป็นฐาน โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพอำเภอให้มีระบบจัดการที่เข้มแข็งนำไปสู่การดูแล ป้องกัน และบำบัดฟื้นฟู และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับผู้ได้รับผลกระทบ ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและเครือข่ายภาคประชาสังคม ฉะนั้นการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างบูรณาการและการขยายผลไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ถือเป็นสิ่งสำคัญ”

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
รวมพลังรักศรัทธาแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบบูรณาการ Quick Big Win
นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้กล่าวถึงปัญหายาเสพติดในประเทศไทยว่า ยังคงเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยและในอีกหลายประเทศทั่วโลกมาอย่างยาวนาน และยิ่งนับวันสถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจ และนำไปสู่ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ ตลอดจนความมั่นคงของประเทศ ซึ่งการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้สำเร็จอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ภาคสาธารณสุข ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน เพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหา

“เรื่องยาเสพติด ถือเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศอยู่ ณ ขณะนี้ จากที่ผมได้คลุกคลีกับการแก้ปัญหายาเสพติดมา 2 ปี ผมได้เห็นภาพแห่งความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน คน ๆ หนึ่งติดยาถึงคลุ้มคลั่ง สร้างความเดือดร้อนทั้งหมู่บ้าน มันเป็นเรื่องความปลอดภัยในชุมชน รวมไปจนถึงเรื่องเศรษฐกิจ สาธารณสุข เป็นปัญหาของสังคมวงกว้าง”

นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
โดย รองนายกฯ ยังได้กล่าวถึงการจัดเวทีนี้ว่า เป็นการพัฒนาศักยภาพเพื่อปลุก ‘พลังอำเภอ’ ให้ขับเคลื่อนไปสู่การแก้ปัญหายาเสพติด และกลายเป็นอำเภอต้นแบบและอำเภอขยายผลผ่านแนวทางชุมชนล้อมรักษ์ (CBTx) ที่เน้นการใช้พลังของชุมชนช่วยกันดูแล ให้ชุมชนมีส่วนร่วมตั้งแต่การป้องกัน การบำบัดฟื้นฟู ไปจนถึงการติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยนำผู้ที่มีปัญหากลับมาฟื้นฟู ปรับเปลี่ยน และคืนคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้กลับมาเป็นคนของชุมชนได้อย่างภาคภูมิ ช่วยให้สังคมมีความสงบสุข

“การแก้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระเร่งด่วนของรัฐบาลต้องทำอย่างจริงจังและรวดเร็วเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน โดยใช้โครงการรวมพลังรักศรัทธาแก้ปัญหายาเสพติดแบบบูรณาการ เป็น ต้นแบบขยายไปทั่วประเทศสู่สังคมปลอดยาเสพติดอย่างยั่งยืน เราต้องร่วมมือกันทั้งองคาพยพ ทุกภาคส่วนมาบูรณาการร่วมกันเดินหน้าทั้งปราบปราม ป้องกัน บำบัด และคืนคนให้สังคม ผมอยากให้ทุกท่านร่วมกันใช้โอกาสนี้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสานความร่วมมือ และสร้างรูปธรรมที่ชัดเจน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างแท้จริง หวังว่าโครงการนี้จะเดินหน้าทำอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และยั่งยืน” รองนายกฯ กล่าว

ถอดบทเรียน ‘กำแพงแสน’
ตัวอย่างความสำเร็จอำเภอต้นแบบ ใช้กลไกพชอ. ขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่

นาย อดิศร ล้อถิรธร ปลัดอำเภอกำแพงแสน ได้กล่าวถึงแนวทางกระบวนการการทำงานของอำเภอกำแพงแสนว่า กำแพงแสนมีทั้งหมด 15 ตำบล 16 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีนายนรวีร์ ขันธหิรัญ นายอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม เป็นผู้ขับเคลื่อน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการขับเคลื่อนแก้ปัญหาเสพติด

“ปัญหายาเสพติด เป็นปัญหาที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไข คณะกรรมการ พชอ.โดยท่านนายอำเภอได้มีการประชุมนโยบายให้ทุกส่วนราชการในอำเภอดำเนินการขับเคลื่อน เมื่อมีนโยบายจากส่วนราชการไม่ว่าจะเป็นตำรวจ สาธารณสุข แรงงานที่มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นยาเสพติด เราจะนำนโยบายเหล่านี้ของทุกหน่วยงานเข้ามาดำเนินงานในครั้งเดียวกัน ทำให้นโยบายคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) ไปส่งเสริมสร้างความเข้มแข็งของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) การขับเคลื่อนนี้เกิดจากประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้องเรียน การมั่วสุมของผู้เสพและการไปสร้างความวุ่นวายให้กับชาวบ้านผู้ใช้ชีวิตปกติประจำวัน ซึ่งถ้าเรามีผู้เสพในพื้นที่เยอะ ๆ อาชญากรรม ลักวิ่งชิงปล้น ก็จะเพิ่มตามไปด้วย”

นาย อดิศร ล้อถิรธร ปลัดอำเภอกำแพงแสน
“ฉะนั้นแล้วเราจึงได้ร่วมมือกันบูรณาการทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตำรวจ สาธารณสุข เสริมความเข้มแข็งให้กับชุมชนเพื่อดำเนินการบำบัด โดยกำแพงแสนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ จากการติดตามผู้เสพครบ 1 ปี มีตัวเลขสามารถเลิกยาเสพติดได้กว่า 40%”

“พอเรามีกลไกชุมชนล้อมรักษ์ (CBTx) โดยคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) เข้ามา เปอร์เซ็นมันเพิ่มขึ้นจากผู้ป่วย 41 คน เลิกยาได้เด็ดขาด 18 คน ใน 1 ปี อันนี้เป็นผลลัพธ์ที่ได้ร่วมมือกัน ผนวกกับ สสส. สนับสนุนด้วย เราทำควบคู่ไปกับโครงการพักตับยืดอายุของ สสส. เพราะว่ายาเสพติดและเหล้าจะมาด้วยกัน โดยเป็นผลพวงนำมาขยายผลต่อ”

ด้าน นายธนาธิป บุญญาคม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสระพัฒนา อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ได้ให้ข้อมูลว่า จากการขยายผลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 -2568 จากเดิมจาก 1-2 ตำบล ปัจจุบันได้ขยายผลไป 7 ตำบล 12 ชุมชน โดยเก็บตัวอย่างจาก 3 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนหัวชุกบัว ชุมชนบ้านอ้อกระทิง และชุมชนบ้านหนองดา โดยทุกพื้นที่ตัวอย่างได้ใช้กระบวนการชุมชนล้อมรักษ์ (CBTx) จนเกิดผลประจักษ์ ดังนี้


“ชุมชนหัวชุกบัว ใช้กระบวนการของชุมชนยั่งยืนแบ่งเป็นคุ้ม มีการเอ็กซเรย์ค้นหาผู้ป่วยร่วมกับผู้นำชุมชน เชิญชวนผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา โดยยึดคำว่าสมัครใจ ไม่เสียประวัติ ไม่มีความผิด บำบัดในชุมชน ไม่ได้นำผู้ป่วยออกไปนอกชุมชน มีกระบวนการคัดกรองทำตามระบบ มีการประเมินสถานะผู้ป่วย มีกิจกรรมที่ทำร่วมกับคนในชุมชน มีกิจกรรมระหว่างบำบัด มีกิจกรรมเข้มข้นใน 3 เดือนแรก และเดือนต่อ ๆ ไปจนครบ 1 ปี โดยพยายามหากิจกรรมให้ผู้ป่วยคงอยู่กับเรา ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมที่ผู้ป่วยสนใจ เช่น เขาสนใจด้านเกษตรกรรม เราก็ฝึกให้เขามีอาชีพ หรือการเชิญผู้บำบัดออกมาทำกิจกรรมกับชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาชุมชน การตรวจตราหมู่บ้านร่วมกับพี่ตำรวจ ซึ่งจะเป็นการดึงผู้ป่วยให้คงอยู่กับเราให้ได้นานที่สุด ตรงนี้จะตอบโจทย์เรื่องไม่ให้ผู้ป่วยกลับมาเสพซ้ำได้”

นายธนาธิป บุญญาคม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสระพัฒนา อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม
“ชุมชนบ้านอ้อกระทิง จะใช้กลไกณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) บูรณาการถ่ายทอดนโยบายสู่เวทีคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) โดยนายกอบต. ห้วยขวาง กำนันตำบลห้วยขวาง ผู้ใหญ่บ้าน กรรมการทุกหมู่บ้าน โรงเรียนตำบลห้วยขวาง จุดเด่นของที่นี่คือ ใช้ชุมชนเข้ามาดูแลผู้ป่วย ซึ่งจะมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง พูดคุยจนกระทั่งผู้ป่วยรู้สึกว่าเป็นคนที่พึ่งพาไว้ใจได้ กระบวนจะคล้าย ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นจัดตั้งคณะกรรมการ คัดกรอง บำบัด ฟื้นฟู และติดตาม มีการส่งเสริมอาชีพ ดูว่าผู้ป่วยสนใจเรื่องอะไร อยากทำอาชีพอะไร เช่น เขาอยากเป็นช่าง เราก็จะเอาไปฝึกกับหัวหน้าช่าง เป็นต้น”

“ชุมชนบ้านหนองดา ก็มีวิธีการดำเนินงานแบบชุมชนล้อมรักษ์ (CBTx) โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ บูรณาการหน่วยงานภายในในชุมชน ปราบปราม และสกัดกั้นยาเสพติด การสร้างชุมชนเข้มแข็ง การค้นหา/คัดกรอง การบำบัดฟื้นฟู การติดตามหลังบำบัด และสร้างอาชีพ โดยบ้านหนองดา ตำบลวังน้ำเขียว ช่วยให้เกิดการเลิกเสพที่ยั่งยืนและลดการกลับมาใช้ซ้ำ ปี พ.ศ. 2567 เลิกได้ 5 คน จาก 12 คน และปี พ.ศ. 2568 เลิกได้ 2 คน จาก 4 คน”

“หนองโสนโมเดล” สร้างชุมชนเข้มแข็ง
ใช้แนวคิดชุมชนล้อมรักษ์ แก้ปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน

“หนองโสนโมเดล” ได้เริ่มต้นขับเคลื่อนโดยผู้นำท้องถิ่น ได้แก่ นายยุทธนา เมืองเล็ก นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองโสน ร่วมกับกำนันเจมส์ พ.ต.ต.กดชา บรรเทิงจิต สวป.(ชส.) สภ.เมืองเพชรบุรี และ นางใจแก้ว ศิลปศร (หมอใจแก้ว) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองโสน โดยร่วมมือกันสร้าง “ชุมชนล้อมรักษ์” (CBTx) ใช้พลังของชุมชนเป็นศูนย์กลางในการบำบัด ฟื้นฟู และปรับพฤติกรรมของผู้ที่เคยหลงทางไปกับยาเสพติด ด้วยแนวคิด “ใช้ความรัก ความเข้าใจ และความหวังดี เป็นเครื่องมือเยียวยา”

โดย นายยุทธนา เมืองเล็ก นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หนองโสน จังหวัดเพชรบุรี กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าต้องการให้คนหนองโสนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ปัญหายาเสพติดส่งผลต่อทุกคนในชุมชน เราจะไม่ปล่อยผ่าน แต่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อแก้ไขอย่างยั่งยืน และนอกจากนี้ยังมีมูลนิธิศูนย์วิชาการสารเสพติด และ สสส. ได้เข้ามาร่วมสนับสนุน พัฒนาแนวทาง และเสริมพลังให้กับทีมงานในพื้นที่ด้วย


“เรื่องคุณภาพชีวิต ถ้าเราไม่สามารถควบคุมผู้เสพที่จะพัฒนาไปสู่ผู้ป่วยทางจิตได้ มันสร้างปัญหาได้มากมาย โดยกระบวนการที่หนองโสนทำ คือการปลูกต้นไม้แห่งความปรารถนาดี เราจึงเปิดพื้นที่สร้างพื้นที่ความปลอดภัยให้ชาวบ้านเปิดใจส่งลูกส่งหลานมาบำบัด เรามีคลินิกเพื่อนใจเปิดไว้ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เพื่อให้ผู้เสพ ผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย ใครก็แล้วแต่ที่ได้รับผลกระทบเข้ามาพูดคุยและแก้ปัญหาร่วมกัน”

เส้นทางชีวิต...จากคนเคยหลงผิดสู่การเปลี่ยนแปลง
บุคคลต้นแบบ ต.หนองโสน จ.เพชรบุรี

เฟิร์ส-อนุวรรตน์ วิริยะประสาทพร ชายวัย 35 ปี เกิดและเติบโตในหมู่ 2 ตำบลหนองโสน อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี เล่าประสบการณ์ที่ตนได้ไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติดให้ฟังว่า เกิดจากความอยากรู้อยากลอง บวกกับมีปัญหาทางด้านความรัก

“จริง ๆ แล้ว ผมเป็นคนไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า แถมเรียนค่อนข้างดี แต่จุดเปลี่ยนในชีวิตเกิดขึ้นเพราะ “ความอยากลอง” บวกกับ “ความเสียใจในความรัก” ก่อนหน้านั้น ผมต่อต้านยาเสพติดทุกชนิด ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันหนึ่งที่ตัวเองจะเข้าไปอยู่ในวงโคจรนั้น

“ผมเริ่มเสพยาไอซ์ตั้งแต่อายุ 22 ปี ตอนนั้นเรียนอยู่ ใช้เงินเดือนละหลักหมื่นเพื่อซื้อยาไอซ์มาเสพ ปัญหาเรื่องเงินทำให้ผมต้องโกหกครอบครัว จนสุดท้ายอยู่กรุงเทพฯ ต่อไปไม่ไหว ต้องกลับมาอยู่บ้านที่เพชรบุรี แต่ถึงจะกลับบ้านแล้วก็ยังไม่หยุดเสพ เมื่อหายาไอซ์ไม่ได้ ผมเริ่มพยายามหายาเสพติดชนิดอื่นที่ให้ความรู้สึกคล้ายกัน ลองเทสต์หลายอย่าง จนสุดท้ายผมเลือกยาบ้า เพราะผลที่ได้ไม่ต่างกันมากนัก คนที่ติดยาจะไม่หยุดง่าย ๆ หรอกครับ เราจะพยายามหาทุกวิธีเพื่อทดแทนแม้จะรู้ว่ามันผิด ผมเสพยาเป็นช่วง ๆ บางครั้งเว้นไปหลายเดือน หรือแม้แต่ปีครึ่ง แต่ก็วนกลับมาใช้ใหม่อยู่ดี วนเวียนอยู่แบบนี้กว่า 14-15 ปี”

เฟิร์ส-อนุวรรตน์ วิริยะประสาทพร บุคคลต้นแบบ ต.หนองโสน จ.เพชรบุรี
โดยจุดเปลี่ยนของเขามาจาก “หนองโสนโมเดล” เฟิร์สเล่าต่อว่า จนกระทั่งได้ยินว่ามี “โครงการหนองโสนโมเดล” เข้ามาทำงานบำบัดในพื้นที่ ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้สนใจเลย เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา หนีบ้าง หลบเลี่ยงบ้าง เพราะไม่อยากยุ่งกับโครงการแบบนี้ แต่โครงการนี้ต่างออกไป เขามีกลยุทธ์ที่ทำให้คนเสพหยุดคิดได้ โดยเขาอธิบายว่า หากเสพยาแล้วขับรถ จะถือว่ามีความผิดตามกฎหมายในข้อหา “ขับรถในขณะเสพยา” ซึ่งมีโทษจำคุก เป็นข้อหาที่รุนแรงและทำให้คนเล่นยาหลายคนเริ่มกลัว อย่างไรก็ตาม โครงการนี้เสนอทางเลือกว่าหากเข้าร่วมโครงการบำบัดในระยะเวลา 4 เดือน โดยไม่ต้องถูกกักขังหรือบังคับให้อยู่ในศูนย์บำบัด เพียงเข้าประชุมเดือนละครั้ง จะเป็นการคุ้มครองสิทธิ์ของผู้เข้าร่วม หากเจอด่านตรวจ ก็สามารถแจ้งได้ว่าอยู่ในโครงการนี้ ตำรวจก็จะไม่ดำเนินคดี

“เงื่อนไขนี้ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมยังมีทางเลือก ผมไม่ต้องหนีอีกต่อไป และมันเปิดโอกาสให้ผมได้กลับมาทบทวนตัวเอง ซึ่งตอนเข้าร่วมโครงการ ผมรู้สึกโล่งใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เวลาขับรถก็ไม่ต้องกลัวด่าน ไม่ต้องระแวงเหมือนเดิม ความรู้สึกสบายใจนี้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ผมอยากรักษาความรู้สึกดี ๆ แบบนี้ต่อไป อยากใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว”

“จากที่เข้าโครงการ ทุกเดือนจะมีการประชุมและตรวจสารเสพติด โครงการไม่ได้คาดหวังผล 100% เพราะรู้ว่าคนที่เพิ่งเข้ามายังเลิกไม่ได้ทันที เขาไม่ได้บังคับ แต่ให้โอกาส ให้กำลังใจ และค่อย ๆ ช่วยให้เราลดการเสพลงทีละน้อย”

“ผมตั้งใจจริง หลังจากเข้าร่วมโครงการ 4 เดือน ผมสามารถหยุดยาได้ และผลตรวจสารเสพติด 2-3 ครั้งออกมาไม่พบสาร ผมเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติ นายก อบต.หนองโสน ก็ให้โอกาสใหม่ในชีวิต ท่านรับผมเข้าทำงานที่กองสาธารณสุข อบต.หนองโสน ทันทีหลังจากเลิกยาได้ การได้ทำงาน ช่วยให้ชีวิตผมกลับมามีจุดยืน ไม่วอกแวก มีหน้าที่ มีคุณค่า และมีคนรอบข้างที่กลับมามองผมในมุมที่ดีขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ ตอนที่ยังเล่นยา ผมไม่สนใจเลยว่าคนรอบข้างจะรู้สึกยังไง แต่เมื่อวันหนึ่งเราหลุดออกมาจากตรงนั้นได้ เราจะเห็นอีกมุมหนึ่งที่ต่างออกไป มุมที่คนอื่นเคยมองเราอย่างผิดหวังและเสียใจ”

“วันนี้ ผมเลิกยาได้ 6 เดือนแล้ว ผมไม่อยากคิดว่าจะกลับไปไหม เพราะทุกวันนี้ ผมไม่มีปัจจัยเสี่ยง ไม่มีวงจรเดิม ๆ ให้กลับไปแล้ว ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้คือ ถ้าตัวคุณไม่คิดจะเลิก ต่อให้ใครพูดเป็นร้อยครั้ง พันครั้ง คุณก็ไม่มีวันเลิกได้”
“ผมอยากบอกทุกคนที่อาจกำลังคิดจะลองว่า อย่าลอง อย่ารู้ อย่าสนใจมันเลย เพราะความสุขจากยาเสพติดเป็นเพียงชั่วครู่ มันเป็นความสุขระยะสั้น มันจะหลอกคุณให้คิดว่าดี แต่จริง ๆ แล้วมีแต่โทษ ทำลายชีวิต ทำลายความสัมพันธ์ และทำลายความเชื่อใจของคนรอบข้าง มันคือกับดักที่ไม่มีใครควรเหยียบลงไปเลยครับ”

ส่งต่อความสำเร็จ
สู่การขยายผลทั่วประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

ด้านนพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ กล่าวว่า หนึ่งในกระบวนการสำคัญของโครงการชุมชนล้อมรักษ์ (CBTx) คือการติดตามผู้ป่วยยาเสพติดที่ถูกส่งกลับมายังชุมชนตลอด 1 ปี เพราะเป็นช่วงวัดใจว่าผู้ที่ผ่านการบำบัดยาเสพติดมาแล้วจะกลับไปใช้สารเสพติดอีกครั้งหรือไม่ หากการบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติดผ่านกลไก CBTx ประสบความสำเร็จ จะช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ ทำให้ผู้ที่เคยป่วยสามารถกลับสู่ชุมชนได้ ด้วยเหตุนี้การมีชุมชนที่เข้มแข็งจึงสำคัญ

นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้
“การรักษาให้ได้ผลจริงคือ ผู้บำบัดต้องไม่ใช้หรือเสพสารเสพติดตลอดระยะเวลา 1 ปี ซึ่งการให้เขาออกมาทำกิจกรรมทุก ๆ สัปดาห์ เป็นเวลา 1 ปี เขาจะหายจากภาวะสมองติดยา ในระหว่าง 1 ปีจะต้องทำให้เขากลับมาเป็นผู้ที่ปกติสุข มีอาชีพ มีรายได้ ซึ่งต้องเกิดจากทุกภาคส่วนสานพลังทำงานร่วมกัน ทั้งท้องถิ่น ชุมชน มหาดไทย ตำรวจ สาธารณสุข จึงล้วนเป็นกำลังสำคัญในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี จนสามารถควบคุมให้ผู้ใช้สารเสพติดปรับความคิดและเปลี่ยนพฤติกรรมจากด้านมืดเป็นด้านสว่างได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น เราต้องอาศัยชุมชนเข้มแข็งสักหนึ่งแห่ง ในหนึ่งอำเภอเป็นสถานที่เริ่มปฏิบัติการให้เห็นจริงก่อน เพื่อเป็นต้นแบบนำไปสู่การขยายผลให้ชุมชนล้อมรักษ์ (CBTx) กระจายไปทุกพื้นที่”

ด้าน ผู้จัดการกองทุน สสส. มองว่า ที่ผ่านมามีการดำเนินงานกันมาตลอด โดยมีเป้าหมายคือทำให้อำเภอแก้ปัญหายาเสพติดได้อย่างยั่งยืน ซึ่งผลจากการประชุมครั้งนี้ จะเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาระบบการทำงานระดับอำเภอสู่ชุมชนที่เข้มแข็งและปลอดภัย และนำไปสู่การขยายผลการทำงานครอบคลุมทั่วประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

ปัจจุบันมีพื้นที่ต้นแบบปลอดภัยจากยาเสพติด 29 พื้นที่ทั่วประเทศ อาทิ ตำบลหนองโสน อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี, พื้นที่ชุมชนบ้านคำเมย เขตการปกครองขององค์การบริหารส่วนตำบลดูน อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ, กลุ่มชุมชนมุสลิม ตำบลควรโนรี อำเภอโคกโพ จังหวัดปัตตานี, กลุ่มด้วยใจรัก หมู่บ้านกองผักปิ้ง เยาวชนชาติพันธุ์ พื้นที่ชายแดน ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น มีเครือข่ายภาคประชาชนขับเคลื่อนงานสร้างพื้นที่ปลอดภัยป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด 12,942 คน ในพื้นที่ 4,022 หมู่บ้าน/ชุมชน มีแกนนำเครือข่ายที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง 282 คน
และตั้งแต่ปี 2567 สสส. ได้ขยายการดำเนินงานผ่านเวทีสานพลังชุมชนล้อมรักษ์ (CBTx) โดยเน้นพื้นที่เป็นฐาน ประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมถอดบทเรียนและหาแนวทางการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันใน 6 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และกรุงเทพมหานคร โดยมุ่งส่งเสริมให้อำเภอมีการรวมตัวเพื่อสร้างความเข้มแข็ง มีการพัฒนาผู้นำชุมชน และมองหากลไกการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ


“ผมมองว่าสิ่งที่ สสส.และทุกภาคส่วนทำ จะเป็นก้าวเดินที่มั่นคง เราต้องการให้คนที่ทำงานจริงมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ นำมาสู่การสร้างแรงบันดาลใจให้กับชุมชนอื่น ๆ เพื่อทำในทิศทางเดียวกัน เป้าหมายเดียวกัน นโยบายเดียวกัน ผมเชื่อมั่นว่าการประชุมเครือข่ายภาคกลางครั้งนี้ จะเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาระบบการทำงานระดับอำเภอสู่ชุมชนที่เข้มแข็ง เข้มข้น และขยายผลไปทั่วประเทศต่อไป” นพ.พงศ์เทพ กล่าวทิ้งท้าย






กำลังโหลดความคิดเห็น