xs
xsm
sm
md
lg

จากแม่ส่งต่อแม่ เปิดเคล็ดลับการเลี้ยงลูกให้มีความสุข พร้อมแนวคิดการเลือกโรงเรียนให้ลูกแบบฉบับ “แม่โบว์ AF”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

แน่นอนว่าครอบครัวคือรากฐานสำคัญที่ช่วยหล่อหลอมให้เด็กเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ แต่แม้ว่าครอบครัวจะมีบทบาทหลักในการส่งเสริมพัฒนาการและการเติบโตของเด็ก แต่บทบาทของคุณครูและโรงเรียนก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะโรงเรียนเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง ที่เมื่อถึงวัยเข้าเรียน คุณพ่อคุณแม่หลายคนต่างมองหาโรงเรียนที่ดีที่สุดให้กับลูก เพื่อปูพื้นฐานด้านการเรียน การอยู่ร่วมกับสังคม สิ่งแวดล้อม และทักษะชีวิตในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่ยังเล็ก ดังนั้น ความร่วมมือกันระหว่างบ้านและโรงเรียน จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เด็กเติบโตอย่างมีศักยภาพครบรอบด้าน

วันนี้ MGR ONLINE ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณแม่ “สาวิตรี สุทธิชานนท์” หรือ “โบว์ AF” จากศิลปินและนักแสดง สู่บทบาทคุณแม่เต็มตัว ที่จะมาแบ่งปันแนวคิด เทคนิคการเลี้ยงดูลูกในยุคใหม่ พร้อมทั้งบทบาทและมุมมองต่อการเลือกโรงเรียนเพื่อช่วยส่งเสริมศักยภาพให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพและมีความสุข


เทคนิคการเลี้ยงลูกยุคใหม่ ใจดีได้แต่ต้องไม่ใจอ่อน วินัยคือสิ่งสำคัญ

เพราะการเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในยุคเทคโนโลยีที่โลกหมุนเร็วและความคาดหวังสูงขึ้นทุกวัน เราเริ่มต้นคำถามถึงเคล็ดลับการบริหารเวลาให้สมดุลระหว่างงานและครอบครัว โดยแม่โบว์ AF ตอบด้วยรอยยิ้มว่า เธอให้ความสำคัญกับลูกเป็นหลัก

“โบว์มีความตั้งใจตั้งแต่ตั้งท้องว่า ‘อยากทุ่มเทเวลาให้กับลูก’ ‘อยากเลี้ยงลูกเอง’ ซึ่งโบว์เลี้ยงลูกเองตั้งแต่แรก โดยไม่ใช้พี่เลี้ยงเลยค่ะ ช่วงแรก ๆ ไม่รับงานเลย เพราะอยากอยู่กับลูกให้มากที่สุด”

“ส่วนหลักการเลี้ยงลูก โบว์เลือกผสมผสานแนวการเลี้ยงแบบดั้งเดิมกับสมัยใหม่ โดยจะเน้นการสร้าง ‘วินัย’ โบว์จะฝึกวินัยให้กับเขามาตั้งแต่เล็ก ๆ ตั้งแต่อยู่ Early Years เช่น ไปโรงเรียนกลับมาล้างมือ อาบน้ำ ทำการบ้าน ซ้อมเปียโน กินข้าว เราจะทำเป็น Step แบบนี้ทุก ๆ วัน ทุกอย่างจะมีลำดับขั้นตอนที่ชัดเจน ทำให้ลูกคุ้นชินกับความรับผิดชอบ และรู้หน้าที่ของตัวเองโดยไม่ต้องบอกซ้ำ อย่างบางวันไม่มีการบ้าน โบว์ก็จะให้เขาอ่านหนังสือ ทำแบบนี้จะทำให้เขารู้ว่าเขาต้อง expect กับอะไรในชีวิต เขาจะมี Step ของตัวเอง เหมือนวางรากฐานในอนาคตเขาได้ โบว์มักจะใช้คำสอนของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ สอนลูกว่า ‘ลำบากวันนี้ สบายทีหลังดีกว่า’ มันก็มีอยู่แล้วเด็กที่เขาบอกอยากสบายตอนนี้เลยได้ไหม แต่เราก็จะทำให้เขาเห็นว่าเขาจะมาเหนื่อยทีหลังนะ เราจะบอกเขาตลอดว่า ถ้ามีอะไรสำคัญ อะไรที่เหนื่อย ๆ ทำให้เสร็จก่อน เรียงลำดับความสำคัญก่อน อย่างการบ้านได้มาวันไหนให้ทำวันนั้นเลย ไม่ต้องรอให้ใกล้วันที่จะต้องส่งแล้วค่อยมาทำ ก็จะฝึกเขาตั้งแต่เล็ก ๆ โบว์จะทำตารางให้ลูกเลยว่า วันจันทร์ต้องทำอะไรบ้าง แพ็คอะไรใส่กระเป๋าไปโรงเรียนบ้าง ตอนนี้เขาโตขึ้นก็จะจำได้ว่าต้องทำอะไรบ้าง เขาก็จะทำเองแล้ว”

หลักการเลี้ยงลูกอีกสิ่งหนึ่ง คือ Kind but firm -ใจดีแต่ไม่ใจอ่อน เพราะสำหรับเธอ การเป็นแม่ไม่ได้หมายถึงการตามใจลูก แต่คือการวางขอบเขตที่ชัดเจน พร้อมอธิบายทุกสิ่งด้วยเหตุและผล

“หลักอีกอย่างที่โบว์ใช้เลี้ยงลูก หลักนี้ก็ได้มาจากคุณหมอประเสริฐเช่นกัน คือ "Kind but firm" (ใจดีแต่ไม่ใจอ่อน) เราไม่ได้เลี้ยงแบบตามใจ แต่เรามีวินัย มีขอบเขต ทุกอย่างที่เราทำ เราจะอธิบายด้วยเหตุและผล โบว์จะไม่หลอกลูก จะไม่มีการใช้กุศโลบาย เช่น กินข้าวไม่หมดของเหลือทิ้ง เสียดายของนะ ถ้ากินหมดร่างกายจะแข็งแรงนะ ทุกอย่างจะเป็นเหตุเป็นผล โบว์เลี้ยงลูกเอง สัมผัสเอง จะรู้ใจลูกทุกอย่าง เป้าหมายของโบว์กับสามีคืออยากสร้างลูกไม่ใช่แค่ไม่เป็นภาระของสังคม แต่เราอยากสร้างให้เขาอยู่ในสังคมได้ในอนาคต เป็นมนุษย์โลกคนหนึ่งที่มีคุณค่ากับโลกใบนี้”

ครอบครัว+โรงเรียน เบื้องหลังความสุขและความสำเร็จของเด็ก ๆ

สำหรับแม่โบว์ มองว่าการเลี้ยงลูกไม่ใช่แค่หน้าที่ของพ่อแม่เพียงเท่านั้น แต่คือการร่วมมือกันระหว่างบ้านกับโรงเรียน ซึ่งจะช่วยหล่อหลอมให้เด็กเติบโตได้อย่างสมบูรณ์

เมื่อถามถึงแนวทางในการเลี้ยงดู “น้องภิพภา” ให้เติบโตเป็นเด็กที่มีความมั่นใจ กล้าแสดงออก และเก่งรอบด้าน แม่โบว์ตอบด้วยรอยยิ้มว่า เธอเริ่มจากการให้น้องภิพภาเข้า Playgroup ซึ่งเป็นกิจกรรมสำหรับเด็กเล็กที่เน้นการเรียนรู้ผ่านการเล่นร่วมกัน ทั้งการเล่นอิสระ การร้องเพลง เล่านิทาน และทำกิจกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ


“Playgroup ทำให้น้องได้เจอคนที่อยู่ในวัยเดียวกัน ช่วงอายุเดียวกัน ทำให้เขารู้จักการสื่อสารกับคนวัยเดียวกัน เขาจะกล้าแสดงออก มีโอกาสได้แสดงความสามารถ โบว์จะฝึกเขาตั้งแต่เด็ก ๆ ด้วย เขาได้เจอเพื่อนแม่บ่อย เลยเป็นคนที่เข้ากับคนได้ค่อนข้างง่าย จริง ๆ แล้วความกล้า ความกลัว ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งโบว์เข้าใจลูกเพราะตอนเด็ก ๆ โบว์เป็นเหมือนภิพภา โบว์เป็นเด็กที่ไม่สนใจใครฉันจะเต้นเต็มที่ ภิพภาก็เป็นแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันเด็กคนอื่น ๆ เขาอาจจะถนัดสิ่งอื่น ซึ่งมันไม่ผิด ความมั่นใจมีได้หลายอย่าง เด็กคนนี้เขาอาจจะมั่นใจในการเรียนเลข หรือเด็กคนนี้เขาอาจจะมั่นใจในวิชาภาษาอังกฤษ แต่ละคนความมั่นใจไม่เหมือนกัน อยากให้ลองสังเกตลูก ไม่ต้องรีบ ค่อย ๆ สังเกตว่าลูกเราเขาถนัดด้านไหน มีความมั่นใจในเรื่องไหน ซึ่งเราก็มีหน้าที่ส่งเสริมผลักดันให้เขาได้มีโอกาสโชว์ในสิ่งที่เขาถนัด โชว์บ่อย ๆ ก็จะยิ่งมั่นใจขึ้นเรื่อย ๆ เองค่ะ”

“โบว์มองว่าเด็กสมัยนี้ต้องเน้นความรู้มากกว่า 1 ด้าน เขาจะต้องมีความเป็นเป็ดมากขึ้น มีความหลากหลายมากขึ้น ต้องรอบรู้หลาย ๆ ด้าน ครอบคลุมทั้งหมดเลย แต่ถ้าเชี่ยวชาญด้านไหนก็ต้องไปให้สุดด้านนั้นด้วย อย่างน้องภิพภาเขาจะมาบอกเราก่อนทุกครั้งว่า แม่หนูอยากเรียนเปียโน โบว์ก็จะสนับสนุนลูกแต่จะตกลงกับลูกก่อนเรียนว่า ถ้ายากไม่ใช่เลิกเรียนเลยนะ ถ้ายากเราต้องไปต่อนะ แต่ถ้าเล่นเพลงนี้เก่งแล้วอยากเลิกเรียนค่อยมาคุยกัน ไม่ใช่มาคุยกันในวันที่มองว่ามันยาก อะไรประมาณนี้ค่ะ โบว์ก็จะใช้วิธีนี้กับทุกกิจกรรม โบว์จะรอให้ลูกเดินมาบอกก่อนว่าเขาชอบอะไร อยากเรียนอะไร แล้วค่อยให้เรียน สุดท้ายเหมือนพอลูกได้เรียนหลากหลาย เขาก็จะเริ่มเห็นแล้วว่าเขาทำได้ดีทางไหน ถนัดทางไหน”

โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ วิชาการดี กิจกรรมเด่น ตอบโจทย์เด็กทุกด้าน

แม่โบว์ สาวิตรี เล่าด้วยแววตาภูมิใจว่า ปัจจุบัน “น้องภิพภา” กำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ กรุงเทพฯ ชั้น Year 3 (เทียบเท่าประถมศึกษาปีที่ 2) ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เธอเลือกอย่างตั้งใจ เพราะมองว่าโรงเรียนแห่งนี้ตอบโจทย์ทั้งด้านวิชาการ กิจกรรม และความสุขของลูก

“ตอนที่น้องภิพภาจะเข้าโรงเรียน ตอนนั้นโบว์ได้คุยปรึกษากับทางพี่โอปอ-ปาณิสรา อารยะสกุลและพี่หมอโอ็ค-สมิทธิ์ อารยะสกุล เพราะลูกของพี่เขาโตกว่าและเรียนที่โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์อยู่ ซึ่งโบว์ก็สนใจที่นี่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาเล่าว่า Primary ที่นี่หลักสูตรแข็งแรงนะ แถมยังมีหลักสูตร IB (International Baccalaureate) ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก อีกทั้งนอกจากทักษะวิชาการแล้วยังมีการเสริมสร้างการเรียนรู้นอกห้องเรียน ส่งเสริมทักษะการเล่น สร้างนิสัยรักการอ่าน รวมไปถึงทักษะทางด้านดนตรี กีฬาด้วย โบว์จึงตัดสินใจให้ลูกเรียนที่โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ค่ะ”


นอกจากนี้แล้ว แม่โบว์ยังเล่าอีกว่า น้องภิพภาได้ฝึกความกล้าและความมั่นใจตั้งแต่อนุบาล ผ่านกิจกรรมอย่างการแสดงละครเวทีในช่วงคริสต์มาส ซึ่งทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะสื่อสารต่อหน้าคนอื่น

“โรงเรียนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้น้องภิพภาแสดงออกเต็มที่สุด ๆ เพราะน้องได้มีโอกาสขึ้นเวที ได้แสดง ทำให้เขามีความกล้าจะขึ้นเวทีใหญ่ ๆ ภิพภาได้เริ่มฝึกความกล้าแสดงออกตั้งแต่อนุบาลเลยค่ะ ที่โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์จะมี Christmas Nativity หมายถึง การฉลองการประสูติของพระเยซูคริสต์ ให้เด็กได้ทำกิจกรรมแสดงละครเวที น้องก็ได้เริ่มตั้งแต่ตรงนั้น จนกระทั่งมีบทบาทใหญ่ขึ้น อย่างพอขึ้นอนุบาล 2 (Reception) เป็นพี่ใหญ่สุดของอนุบาลก็จะมีบทพูด การที่เขาได้มีบทพูดครั้งแรกเขาตื้นเต้นมาก ๆ ได้พูด 1 ประโยคแต่เขากลับตั้งใจซ้อมมาก แล้วเขาก็ใส่ฟิลลิ่ง นั่นเป็นครั้งแรกที่โบว์ได้เห็นแววความกล้าของน้องที่อยู่บนเวที คือเขาไม่ใช่แค่พูด แต่เขาสามารถใส่อิโมชันในประโยคที่พูดได้ เราเลยรู้สึกว่าลูกเรากล้า ไม่มีความเขินอายเลย”


“โบว์มองว่ากิจกรรม ECA ที่นี่ มีให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมหลังเลิกเรียนหรือตอนกลางวัน อย่างปีนี้ภิพภาได้มีโอกาสเข้าวง Percussion ทีมีทั้งเครื่องดนตรี เช่น กลอง ฉาบ ฆ้อง แทมบูรีน ไซโลโฟน ซึ่งเด็ก ๆ ที่เข้าไปไม่เคยเล่นเครื่องดนตรีเหล่านี้มาก่อน แต่คุณครูก็สามารถทำให้เด็กกลุ่มหนึ่งสามารถเล่นได้ ซึ่งเด็ก ๆ ก็ตั้งใจซ้อม เขาอยากโชว์ในคริสต์มาสคอนเสิร์ตมาก ๆ เรารู้สึกว่าโรงเรียนเขาเปิดโอกาสให้เด็กที่ไม่ได้เรียนเครื่องดนตรีเหล่านี้ข้างนอกได้มีโอกาสได้ทดลองเรียน”

“นอกจากนี้โรงเรียนยังส่งเสริมในเรื่องของการแสดงออกมาเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่ภิพภาได้อยู่ในวงประสานเสียงของโรงเรียน เขาได้ฝึก ได้ร้องในกลุ่มเยอะ ๆ ได้เสพความอยู่ในวง choir ไควเออร์ เขาก็รู้สึกว่าอยากร้องประสานเสียงจัง เขากลับมาบ้านก็มานั่งกดเปียโนหาว่าเสียงนี้ต้องประสานกับเสียงนี้นะ มันทำให้เขามีความอยากรู้เพิ่มขึ้นไปอีก เขามีโอกาสได้ไปออดิชัน มี Part Solo กับพี่ ๆ Year ที่โตกว่า เขารู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก ๆ พอถึงเวลาแสดง เขามั่นใจมาก ๆ เต็มที่มาก ๆ เลยค่ะ”

ได้ฝึกความเป็นผู้นำตั้งแต่ยังเด็ก

“นอกจากนี้น้องยังได้โอกาสเป็นสภานักเรียนตอน Year 1 และ Year 2 ตอนนี้ Year 3 เขาได้เป็น House Hero ที่โรงเรียนเขาจะมี 4 สี เขาก็จะมี House Captain ซึ่งปีนี้เขาก็ได้เปิดให้โอกาสเด็ก Year 3 ได้ลงสมัครเป็น House Hero เขาก็ลงนะคะ ซึ่งเขามีโอกาสได้พูด Speech หาเสียง เขาตั้งใจทำ Presentation ทำ PowerPoint นำเสนอ ซึ่งมองว่าที่นี่ฝึกความเป็นผู้นำตั้งแต่เด็ก ๆ เลย ทำให้เด็กมีความอยากเป็นผู้นำ ตอนนี้ภิพภาเลยมีแพลนในหัวและในใจว่าตอนอยู่ Year 5 อยากเป็น House Captain พออยู่ Year 6 อยากเป็น Head Girl คือเขาแพลนไปถึงตอนนู้นแล้วค่ะ อย่างปีที่แล้วตอนเป็นสภานักเรียน เขาก็มีโอกาสได้ไปทำเซอร์เวย์สอบถามเพื่อน ๆ เขากล้าที่จะยกมือเสนอความคิดเห็น ซึ่งสุดท้ายความคิดเห็นหรือไอเดียของเขามีผลตอบรับกลับมาเขาดีใจมาก ๆ มันฝึกการเป็นผู้นำ การโหวต การอยู่ร่วมกับคนอื่นหมู่มาก มีการแชร์ไอเดียกัน ซึ่งเขาภูมิใจมากที่เขาได้เป็นส่วนหนึ่งของการมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้น”


อีกสิ่งหนึ่งที่แม่น้องภิพภาชื่นชมโรงเรียน คือการดูแลเด็กแบบรายบุคคล เพราะโรงเรียนเข้าใจดีว่าเด็กแต่ละคนมีจังหวะการเรียนรู้ไม่เท่ากัน

“โรงเรียนมีการสนับสนุนเด็กเป็นรายบุคคลเลยก็ว่าได้ค่ะ อย่างเลเวลการอ่านของเด็กแต่ละคน ใน 1 คลาส จะไม่เท่ากันอยู่แล้ว ครูก็ไม่ได้สอนว่าต้องอ่านเล่มเดียวกันไปพร้อม ๆ กัน ในวิชาการอ่านถ้าคนนี้อ่านเลเวลนี้คล่องแล้ว คุณครูก็จะ Move Up คือที่นี่จะมีระบบอ่านออนไลน์ เลเวลจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ คุณครูจะกระตุ้นเด็กรายบุคคลในเรื่องการอ่าน อย่างเลขจะมีเสริมขึ้นมาเรียกว่า Big Math คิดเลขเร็ว ข้อดีของทางโรงเรียนก็คือสมมติว่าเด็กได้คะแนนเต็มแล้ว โรงเรียนจะลดเวลาลง ทุก ๆ สัปดาห์ ได้เต็มใช่ไหม ลดเวลาลงอีก เขาจะไม่ให้เด็กอยู่นิ่งกับที่ เขาจะมีการชาเลนจ์เด็กไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นสิ่งโบว์อยากขอบคุณโรงเรียนมาก ๆ เด็กอ่อนก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตามเพื่อนไม่ทัน ไม่ต้องรู้สึกกดดัน เด็กเก่งก็ไม่ต้องมานั่งรอเพื่อน ทุกคนได้เรียนรู้ในเลเวลของตัวเองไปพร้อม ๆ กัน ในขณะเดียวกันในคลาสรูมก็มีวิชาที่เรียนไปพร้อมกันได้เหมือนกัน ก็เลยรู้สึกว่าทางโรงเรียนซัพพอร์ตเรื่องวิชาการค่อนข้างดีเลยค่ะ”

แม้จะส่งลูกเรียนอินเตอร์ แต่แม่โบว์ก็ยังให้ความสำคัญกับวิชาภาษาไทยด้วยเช่นกัน โดยโรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ ได้ให้คุณค่ากับความเป็นไทย ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของคุณแม่ในส่วนนี้ด้วย

“อีกอย่างที่โบว์เลือกโรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ เพราะที่นี่ Celebrate ความเป็นไทยได้ดีมาก เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีไทย เขาต้องรู้ว่าไหว้ครูคืออะไร ทำยังไง ไหว้ยังไง กราบยังไง คือเราอยากให้เขายังมีความเป็นไทยอยู่ด้วย อย่างตอนมา Open House ระหว่างตอนเดินทัวร์ น้อง ๆ ทุกคนยกมือสวัสดี เราอยากให้ลูกซึมซับตรงนี้”


“อย่างวิชาภาษาไทยของรีเจ้นท์ โบว์ก็โอเคนะคะ เอาจริง ๆ ตอนแรกโบว์แอบกังวลว่าลูกเรียนอินเตอร์จะได้ภาษาไทยไหม เขาอยากเป็นแบบแม่ เลยบอกเขาว่าถ้าหนูอยากทำงานแบบแม่ หนูต้องอ่านภาษาไทยให้ได้ ต้องเขียนภาษาไทยให้ได้นะ เพราะหนูเป็นคนไทย อยู่ในเมืองไทย ภาษาไทยเราต้องไม่ทิ้งนะลูก ร.เรือต้องชัดนะ กลายเป็นว่าเขาตั้งใจเรียนวิชาภาษาไทยมาก เพราะเขาเป็นเด็กที่มีความพยายามอยู่แล้วค่ะ พอเราใส่มายเซ็ตตรงนี้เข้าไป เขากลายเป็นตั้งใจเรียนภาษาไทย เราไม่ต้องไปเสริมภาษาไทยข้างนอกให้เขาเลยค่ะ แค่เขาเรียนในวิชาเรียน ตอนนี้น้องอยู่ในระดับชั้น Year 3 (เทียบเท่าประถมศึกษาปีที่ 2) เขาสามารถเขียนภาษาไทยได้ อ่านภาษาไทยได้ ค่อนข้างเป็นที่น่าพึงพอใจค่ะ"

เก่งอย่างเดียวไม่พอ ลูกต้องมีความสุขด้วย คำแนะนำสำหรับพ่อแม่ก่อนส่งลูกเข้าโรงเรียน

การเป็นพ่อแม่ ไม่ใช่แค่ผู้ดูแล แต่คือผู้ร่วมเรียนรู้ไปกับลูกในทุกช่วงวัย เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่มีค่าที่สุดไม่ใช่ความเก่งของลูกเพียงอย่างเดียว แต่ยังคือความสุขของลูกด้วย

โดยแม่โบว์ AF ยังแนะนำคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังจะส่งลูก ๆ เข้าโรงเรียนว่า ก่อนที่จะพาลูกเข้าโรงเรียนอยากให้เขาปรับตัวก่อน เช่น ต้องปรับเวลาตื่นนอนให้ลูกก่อนจะมาโรงเรียน ปรับเวลากินข้าวให้ตรงกับตารางของโรงเรียน จะทำให้เขาปรับตัวได้ง่ายขึ้น


“อยากจะบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าไม่ต้องกลัวนะคะช่วงแรก วีคแรก เด็ก ๆ ร้องไห้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่พอผ่านไปเขาจะปรับตัวได้ เพราะเขาเริ่มมีเพื่อน มีสังคม เขาจะไม่ร้องไห้แล้ว ฉะนั้นอยากบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าใจแข็ง แล้วก็สู้ ๆ กับการเริ่ม Step แรกของลูกกันนะคะ”

“ที่สำคัญการเลือกโรงเรียนที่ดีให้กับลูกเป็นส่วนสร้างพัฒนาการและความสุขให้ลูกได้ ที่โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ตอบโจทย์ทุกด้านเลยค่ะ ทั้งวิชาการ กิจกรรม การสอนให้เป็นผู้นำ อีกอย่างครูที่นี่มีความเป็นแม่สูงมาก เขามีความอ่อนโยน รักเด็ก แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้โอ๋จนเกินไป เราได้สัมผัสได้ถึงความน่ารักของคุณครู เด็กทุกคนดูรักคุณครูมาก เด็กดูแฮปปี้กับการได้มาโรงเรียน เลยรู้สึกว่าลูกเราน่าจะมีความสุขถ้าได้มาเรียนที่นี่”

“รวม ๆ แล้วโบว์มองว่าการที่ลูกอยากมาโรงเรียน ไม่ร้องไห้งอแงกับการมาโรงเรียน และมีความสุขกับการที่ได้มาโรงเรียน เป็นสิ่งที่โบว์มองว่าสำคัญที่สุด ทุกวันนี้ภิพภาอยากมาโรงเรียนทุกวัน ช่วงปิดเทอมถามทุกวันว่าเมื่อไหร่จะเปิดเทอม หนูคิดถึงเพื่อน หนูอยากมาโรงเรียนแล้ว เรายังแซวอยู่เลยค่ะว่าเด็กอะไรร้องไห้อยากมาโรงเรียน (หัวเราะ) ซึ่งถ้าลูกแฮปปี้ แม่ก็แฮปปี้ค่ะ”


กำลังโหลดความคิดเห็น